รวม ข่าว AEC August

ส.ไลฟ์สไตล์ชี้รับมือ AEC หนุนSMEsส่งออก- นำเข้า


นายจิรบูลย์ วิทยสิงห์ เลขาธิการสมาพันธ์ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ไทย เปิดเผยว่า เพื่อรองรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ซึ่งส่งผลให้ตลาดอาเซียนกลาย เป็นหนึ่งเดียวกัน ทางสมาพันธ์ฯ ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่มีทั้งผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย และผู้นำเข้าสินค้าของขวัญ ของชำร่วยและของแต่งบ้าน เล็งเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องช่วยเหลือผู้ประกอบการทั้งส่งออกและนำเข้า

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา การช่วยเหลือ หรือการจัดงานแสดงสินค้าจะมุ่งเป้าไปที่กลุ่มของผู้ผลิตเพื่อการส่งออกเป็นหลัก ในขณะที่กลุ่มผู้นำเข้าไม่เคยมีเวทีในการจัดแสดง สินค้า และเพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประกอบการในทุกกลุ่ม รวมถึงกลุ่มผู้นำเข้า ทางสมาคมฯ จึงได้จัดงาน Thailand Gift and Premium Fair 2011 ขึ้นในวันที่ 1-3 กันยายน นี้ ที่ไบเทค บางนา

ทั้งนี้ คาดหวังว่า การจัดงานดังกล่าว จะมีผู้เข้าชมงานไม่ต่ำกว่า 2,500 คน เกิดการซื้อขายไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท มีผู้ตอบรับเข้าร่วมแสดงงานประมาณ 200 บูธ ซึ่งกลุ่ม ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นบริษัท ห้าง ร้าน ที่ต้องการของพรี่เมียมเพื่อนำไปมอบในช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยสินค้าที่ให้ความสำคัญในปีนี้ จะกลุ่ม Eco Product ส่วนหนึ่งมาจาก ผลกระทบจากภาวะโลกร้อน เหตุการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทำให้มีทุกคนสนใจหันมาเลือกสินค้า Eco Product ภายในงานยังได้มีการจัดประกวด Gift and Premium Design Award ภายใต้หัวข้อ Eco Product ส่วนราคาสินค้ามีการปรับราคาเพิ่มขึ้นในปีนี้ประมาณ 10-15% มูลค่ารวมของตลาดอยู่ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท


ที่มา : หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ประจำวันที่ 10 ส.ค.54




ใครรู้จัก AEC ยกมือขึ้น

ปีที่แล้วตัวเลขจากการสำรวจของมหาวิทยาลัยหอการค้าปรากฏออกมาว่ามีคนไทยไม่รู้จักประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC นั้นมีสูงถึง 85% สร้างความตกใจให้กับภาครัฐโดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ที่มีหน้าที่ดูแลการเจรจาและให้ความรู้แก่ประชาชน ปีที่ผ่านไปจึงเป็นปีที่กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศทำงานอย่างหนัก ขณะนี้ยังไม่มีการสำรวจตัวเลขใหม่แต่ผมเชื่อว่าตัวเลขคงเท่าเดิม คนไทยส่วนใหญ่ใช้หลัก "ปลอดภัยไว้ก่อน" คือตอบไม่รู้จะปลอดภัยดี เอาเป็นว่าควรถามคำถามใหม่ว่าเคยได้ยิน AEC หรือไม่? ผมเชื่อว่าตัวเลขจะดีขึ้น ในความเห็นของผมแล้วการแค่ได้ยินก็พอแล้วเพราะจะให้รู้นั้นยากมากเนื่องจากรายละเอียดมีมากมาย คนที่ "ได้ยิน" แล้ว ก็ขอให้หาข้อมูลเพิ่มในส่วนที่เกี่ยวกับธุรกิจของตนต่อไป สำหรับคนรู้จริงก็ขอถามว่าปี ค.ศ. 2015 นั้นมีความหมายอะไรกันแน่? ลองตอบกันเองนะครับ
ในระหว่างนี้ผมขอเสนอให้เตรียมตัวเพิ่มอีก 6 เรื่อง ดังนี้คือ 1) การประสานข้อมูลของอีกสองเสาหลักที่เรียกว่า การเมืองและความมั่นคง ประชาสังคมและวัฒนธรรม กับเสาเศรษฐกิจ แต่ในขณะนี้ผมยังไม่เห็นมีการดำเนินการซึ่งเป็นความเสี่ยงเนื่องจากไม่มีใครจะแก้ไขข้อบกพร่องได้หากข้อตกลงในแต่ละเสาขัดแย้งกัน 2) การให้ความรู้ในการใช้ประโยชน์จากข้อตกลงอย่างมีประสิทธิภาพยังไม่มีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม การใช้ประโยชน์จาก AEC จะต้องเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิตของสินค้าแต่ละชนิดอย่างมีประสิทธิภาพ 3) การสรุปข้อตกลงมาตรฐานสินค้าและบริการร่วมกันระหว่างประเทศอาเซียนจะต้องบรรลุผลให้เร็วที่สุดเพื่อขจัดอุปสรรคการนำเข้าสินค้าระหว่างกัน 4) การปรับโครงสร้างการผลิตสินค้าโดยเฉพาะภาคเกษตรจะต้องดำเนินการทันทีเพื่อการแข่งขัน ผู้บริโภคจะต้องได้รับการพัฒนาขีดความสามารถในการเลือกซื้อสินค้าที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ การจัด Zoning การรวมกลุ่มเป็นสหกรณ์ หรือเป็นบริษัทใหญ่โดยการรวมพื้นที่เข้าด้วยกันโดยใช้เครื่องมือทางการเงินอุดหนุนเกษตรกรจะต้องดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ 5) พื้นที่อาเซียนจะเป็นพื้นที่ลงทุนที่สำคัญจากประเทศที่พัฒนาแล้วเช่นญี่ปุ่นซึ่งจะย้ายฐานการผลิตเนื่องจากมีปัญหาพลังงาน การลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่มีชิ้นส่วนมากๆ จะถูกกระจายไปยังหลายประเทศและนำไปประกอบในประเทศสุดท้ายเพื่อส่งออก หลายประเทศในอาเซียนยังเป็นประเทศพัฒนาน้อยสุด (Least Developed Countries) ซึ่งได้รับสิทธิพิเศษภาษีศุลกากรจากประเทศพัฒนาบางประเทศ ดังนั้นผู้ลงทุนจะตัดสินใจในการส่งออกจากประเทศเหล่านี้ (ซึ่งไม่ใช่ประเทศไทย) เราต้องเตรียมพร้อมเรื่องแรงงาน เครื่องจักร เทคโนโลยี สิ่งอำนวยความสะดวก ความมั่นคงทางการเมืองอย่างไร?
6) เรื่องอาเซียนเป็นเรื่องเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนไทยในทุกด้าน เยาวชนรุ่นหลังต้องเป็นชาวอาเซียนเชื้อชาติไทย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่แท้จริงต้องมีการเตรียมตัวและสร้างศักยภาพตั้งแต่เด็กดังนั้นมหาวิทยาลัยหรือโรงเรียนจะต้องมีหลักสูตรอาเซียนในปีหน้าเป็นต้นไปเพราะอาเซียนไม่มีแค่เพียง 10 ประเทศแต่ยังได้ผนวกกับอีก 6 ประเทศคือจีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลี ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ประชากรรวมกันเท่ากับครึ่งหนึ่งของโลกและขนาดเศรษฐกิจจะยิ่งใหญ่ขึ้นแทนตะวันตกในไม่ช้าครับ
การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด ภารกิจคือ สร้างคนไทยรุ่นใหม่ให้เป็นหนึ่งในอาเซียนให้ได้

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,663 21- 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554

"กิตติรัตน์" ปลุกเอกชนไทยรับมือเปิดเสรี AEC ปี 2558 ระบุหมดยุคค่าแรงถูก อ้อนอย่าตื่นตูมนโยบายขึ้นค่าแรงจะแข่งขันลำบาก พร้อมหนุนธุรกิจไทยลงทุนอาเซียน เชื่อหากรัฐ-เอกชนร่วมมือดี ส่งออกโตเกิน 20% แน่
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยในการปาฐกถาพิเศษ 1 ปีของเออีซีกับทิศทางประเทศไทย ว่า ที่ผ่านมาเอกชนได้มีการเตรียมความพร้อมต่อการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ที่จะเกิดขึ้นในปี 2558 นอกจากการลดภาษีสินค้าทุกรายการเหลือ 0% แล้ว การเคลื่อนย้ายภาคแรงงานในอาเซียนจะทำได้เสรีระหว่างกันมากขึ้น
โดยในส่วนของไทย ยืนยันว่าจะไม่มีแรงงานราคาถูกอย่างในปัจจุบันอีกต่อไป เพราะไทยไม่ได้แข่งขันในเรื่องอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานราคาถูกเหมือนอดีต ดังนั้น ใครก็ตามที่มาลงทุนในไทย ก็ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขเรื่องค่าแรงของไทย ขณะที่ธุรกิจไทย หากเห็นประเทศอื่นในอาเซียน เช่น กลุ่ม CLMV คือ เวียดนาม พม่า ลาว กัมพูชา มีค่าแรงที่ถูกกว่าไทย ก็สามารถเคลื่อนย้ายไปลงทุนประเทศเหล่านี้ได้เช่นกัน ซึ่งรัฐบาลพร้อมสนับสนุน
ทั้งนี้ ไม่อยากให้ธุรกิจกังวลเรื่องการปรับขึ้นค่าแรงแล้วจะแข่งขันไม่ได้ เพราะการเพิ่มค่าแรงจะเป็นการเพิ่มศักยภาพของแรงงานควบคู่ไปด้วย หากปรับขึ้นค่าแรงแล้วแรงงานไม่มีทักษะหรือเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันเพิ่มขึ้น ก็ไม่เกิดประโยชน์ ซึ่งภาครัฐพร้อมจะสนับสนุนเอกชนในเรื่องการเพิ่มทักษะแรงงานด้วยเช่นกัน และไม่ขัดข้องหากแรงงานที่มีฝีมือของไทยจะเคลื่อนย้ายไปทำงานในอาเซียนที่มีค่าจ้างสูงกว่า
สำหรับการดูแลภาคธุรกิจเอสเอ็มอีนั้น รัฐบาลมีแผนอยู่แล้วที่จะเตรียมความพร้อม โดยเฉพาะการรองรับเปิดเออีซี ด้วยการปรับมาตรฐานของธุรกิจให้เป็นสากล พัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ภาษาต่างประเทศ และภาษาเพื่อนบ้าน แก้ปัญหาด้านการตัดราคาระหว่างผู้ประกอบการ สร้างความเชื่อมโยงหาพันธมิตรในอาเซียน และผลักดันการบังคับใช้กฎหมายภายในอย่างเข้มงวดขึ้นนอกจากนี้ ยังสนับสนุนงบประมาณเพื่อแก้ไขและปรับปรุงธุรกิจให้เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ซึ่งเชื่อว่าหลังเปิดเออีซีในปี 2558 จะทำให้ยอดการส่งออกสินค้าไทยภาพรวมโตไม่ต่ำกว่า 20-30% หากภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันมองหาตลาดในต่างประเทศมากขึ้น.


NEC AEC เชียงใหม่

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ระบุ ศูนย์รวบรวมและแสดงสินค้าของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน1นับเป็นก้าวแรกของการก้าวสู่ระดับสากลรองรับศูนย์ประชุมนานาชาติและการเป็นประชาคมอาเซียน

หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวถึง ศูนย์รวบรวมและแสดงสินค้าของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน1 หรือ NEC Shopที่เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ที่ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า เชียงใหม่แอร์พอร์ตว่า สถานที่ดังกล่าวจะเป็นเหมือนโชว์รูมสินค้าของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 ประกอบด้วย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และแม่ฮ่องสอน โดยได้คัดเลือกสินค้าที่มีศักยภาพ ระดับส่งออก มาแสดงและจำหน่าย ให้ประชาชนทั่วไปได้เลือกซื้อและยังเปิดตลาดให้นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศมาแวะชม เนื่องจากสถานที่ดังกล่าวอยู่ใกล้สนามบินนานาชาติเชียงใหม่ที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจแวะก่อนเดินทางกลับ โดยจะมีการขายผ่านระบบ E-Commerce ด้วย ตั้งเป้าตลอดระยะเวลา 6 เดือนของการจัดกิจกรรมจะมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าทั้งขายหน้าร้านและผ่านระบบ E-commerce 15 ล้านบาท ซึ่งหากได้ผลดีก็อาจจะมีการพิจารณาเปิดสาขาใหม่ในห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ ในเชียงใหม่เพิ่มขึ้นด้วย นับเป็นก้าวแรกของการก้าวสู่ระดับสากล รองรับศูนย์ประชุมนานาชาติที่กำลังจะเกิดและรองรับการเป็นประชาคมอาเซียน (AEC)อย่างแท้จริง
สำหรับสินค้าที่นำมาจัดแสดงใน ศูนย์รวบรวมและแสดงสินค้ากลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบนหรือ NEC มีทั้งเครื่องประดับ ของตกแต่งบ้าน เสื้อผ้า ผ้าทอ งานหัตถกรรมไม้แกะสลัก เครื่องเงิน ผลิตภัณฑ์สปาและสมุนไพร เป็นต้น โดยจะดำเนินการเหมือนเป็นต้นแบบของการจัดโชว์รูมเตรียมความพร้อมรองรับศูนย์ประชุมนานาชาติจังหวัดเชียงใหม่ที่กำลังจะแล้วเสร็จในระยะเวลาอันใกล้ (สำหรับผู้สนใจชมผ่านเว็บไซต์ http://www.nec-shop.com )

สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม จัดงานสัมมนา

กำหนดการสัมมนาวิชาการ OIE FORUM ประจำปี 2554

“AEC 2015 ความท้าทายและโอกาสอุตสาหกรรมไทย

วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน 2554

ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ

----------------------------------------------------

ช่วงเช้า

08.30 - 09.30 น. ลงทะเบียน

09.30 - 09.45 น. กล่าวรายงาน

โดย นางสุทธินีย์ พู่ผกา

ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.)

09.45 - 10.30 น. ปาฐกถาเปิดการสัมมนา “AEC 2015 : ความท้าทายและโอกาสอุตสาหกรรมไทย

โดย นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

10.30 - 11.15 น. ปาฐกถาพิเศษ Changes in Geo Global Economics

(การเปลี่ยนแปลงในภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ)

โดย ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ (รอการยืนยัน)

11.15 - 12.00 น. ปาฐกถาพิเศษ Changes in Geo Demographic

(การเปลี่ยนแปลงในประชากรโลก)

โดย ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร

ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TRDI) (รอการยืนยัน)

12.00 – 13.00 น. พักรับประทานอาหารกลางวัน

ช่วงบ่าย สัมมนากลุ่มย่อย

13.00 - 15.30 น. ความท้าทายของอุตสาหกรรมไทยใน AEC

ห้อง 1 สิ่งแวดล้อม : อุตสาหกรรมไทยกับเป้าหมายเติบโตยั่งยืน

ภาครัฐ

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)

ภาคอุตสาหกรรม

นายชายน้อย เผื่อนโกสุม รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

และวิทยากรที่มีชื่อเสียงจากภาคเอกชน

ห้อง 2 ผู้บริโภค : ผู้บริโภคเปลี่ยนไป อุตสาหกรรมไทยจะปรับตัวอย่างไร

ภาครัฐ

ดร.การดี เลียวไพโรจน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ

และผู้อำนวยการศูนย์ให้คำปรึกษาทางธุรกิจ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ภาคอุตสาหกรรม

นายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน)

นักการตลาด

นายสรณ์ จงศรีจันทร์ ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ กลุ่มบริษัท ยังก์ แอนด์ รูบิแคม แบรนด์

ห้อง 3 ยุทธวิธี “รุกเออีซี” เอสเอ็มอีไทย

ภาครัฐ

นางนันทวัลย์ สกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก หรือผู้แทน

ภาคอุตสาหกรรม

วิทยากรที่มีชื่อเสียงจากภาคเอกชน 2 ท่าน

หมายเหตุ : กำหนดการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม


จังหวัดพะเยาพัฒนากระบวนการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพ สู่มาตรฐาน GMP สู้คู่แข่งในกลุ่ม GMS และ AEC ถือว่าเป็นตลาดใหญ่ที่มีกลุ่มผู้บริโภคกว่า 500 ล้านคน จังหวัดพะเยาพัฒนากระบวนการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพ สู่มาตรฐาน GMP สู้คู่แข่งในกลุ่ม GMS และ AEC ถือว่าเป็นตลาดใหญ่ที่มีกลุ่มผู้บริโภคกว่า 500 ล้านคน
จังหวัดพะเยาพัฒนากระบวนการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพ สู่มาตรฐาน GMP สู้คู่แข่งในกลุ่ม GMS และ AEC ถือว่าเป็นตลาดใหญ่ที่มีกลุ่มผู้บริโภคกว่า 500 ล้านคน

นางเฟื่องฟ้า ตุลาธรรมกุล พาณิชย์จังหวัดพะเยา เปิดเผยถึงยุทธศาสตร์เพื่อสร้างรายได้ และขยายโอกาสทางด้านการเกษตร การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ในปีงบประมาณ 2556 ว่า กลยุทธ์ในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ได้จัดทำโครงการส่งเสริมและพัฒนาการค้าชายแดนเชื่อมโยงอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำ โขงหรือ GMS และประเทศอื่นๆ โดยมีแนวทางในการดำเนินการทางด้านการเชื่อมโยงด้านการค้าการลงทุนกับประเทศ เพื่อนบ้านและกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง การพัฒนาระบบโลจิสติกส์เพื่อรองรับด้านการค้าการลงทุน การส่งเสริมการผลิตพืชพลังงานทางเลือก การสนับสนุนการยกระดับคุณภาพและมาตรฐานสินค้าเกษตร นอกจากนี้ได้มีโครงการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถใน การแข่งขัน โดยมุ่งพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการให้พร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงในระบบตลาดการ ค้าเสรีและการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจ การสนับสนุนข้อมูลด้านเศรษฐกิจเพื่อสร้างโอกาสทางการค้าการลงทุน ซึ่งในโครงการดังกล่าวได้มีกิจกรรมที่จะดำเนินการในปีงบประมาณ 2556 ประกอบด้วย การส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตรและสินค้าที่มีศักยภาพของจังหวัดเพื่อการส่ง ออก เพิ่มมูลค่าการค้าชายแดน การพัฒนาคุณภาพการผลิต ผลิตภัณฑ์ OTOP รวมทั้งกิจกรรมการสนับสนุนการสร้างคุณภาพและมาตรฐานสินค้าเกษตร โดยเฉพาะการพัฒนาคุณภาพข้าวหอมมะลิ ซึ่งจังหวัดพะเยาได้มุ่งในด้านการยกระดับโรงสีมาตรฐาน GMP เพื่อนำไปสู่การผลิตและการแปรรูปที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐานเพื่อสร้างโอกาสทางการค้ามากขึ้น
พาณิชย์จังหวัดพะเยา กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า การเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ที่จะเริ่มขึ้นในปี 2558 จะก่อให้เกิดการเคลื่อนย้ายสินค้า และบริการรวมทั้งการเคลื่อนเงินทุนการเคลื่อนย้ายแรงงาน จะเข้าสู่ตลาดเดียวที่มีกลุ่มผู้บริโภคกว่า 580 ล้านคน

Mari Elka Pangestu รัฐมนตรีกระทรวงการค้าของอินโดนีเซีย ในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจของประเทศที่เป็นประธานหมุนเวียนอาเซียน และประธานที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ 43 ที่ประเทศอินโดนีเซีย ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ The Jakarta Post ถึงความคืบหน้าของ “ประชาคมอาเซียน” ตามกำหนดปี 2015

Mari Elka Pangestu

ถาม: ตอนนี้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community – AEC) มีความคืบหน้าอย่างไร

ตอบ: ตอนนี้ทิศทางของ AEC ดำเนินไปตามแผนพิมพ์เขียว (Blueprint) โดยเราพยายามเฝ้าระวังประเด็นที่ล่าช้ากว่าแผน นั่นคือ ด้านสุขภาพและลอจิสติกส์

เราทำงานเรื่องการลดกำแพงภาษีเสร็จแล้ว และกำลังเดินหน้าเรื่องภาคบริการ โดยรัฐบาลของแต่ละประเทศจะต้องยืนยันว่าจะร่วมมือในเซคเตอร์ไหนบ้าง

ส่วนประเด็นเรื่อง “หน้าต่างภาษีเดียว” (Single Window) เราเพิ่งได้รับความร่วมมือจากลาว ที่จะเข้าร่วมหลังสิ้นปีนี้ ตอนนี้มีประเทศที่เข้าร่วม 8 ประเทศแล้ว เป็นกลไกสำคัญต่อการค้าขนาดใหญ่

ถาม: เรามีเป้าหมายว่าจะเพิ่มเงินลงทุนขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์

ตอบ: เราไม่ได้มีเป้าหมายชัดเจนขนาดนั้น ปีที่แล้วเงินลงทุนที่มาจากภายในอาเซียนเองเพิ่มขึ้น 12% และถ้ารวมกับประเทศใกล้เคียงคือ ASEAN+6 (ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์) ตัวเลขจะขึ้นเป็น 30%

ถาม: อาเซียนจะแก้ปัญหาระดับรายได้ที่ต่างกันของประชากรในแต่ละประเทศอย่างไร

ตอบ: อินโดนีเซียในฐานะประธานอาเซียน สนใจประเด็นที่สามในแผน AEC มากเป็นพิเศษ นั่นคือการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเสมอภาคภายในอาเซียน เราได้ทำงานหลายอย่างที่จะลดช่องว่างในการพัฒนาของกลุ่มประเทศอาเซียน

สิ่งแรกที่เราเน้นคือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ซึ่งคิดเป็นธุรกิจจำนวน 96% ของอาเซียน และจ้างแรงงาน 30-60% ของแรงงานทั้งหมดของอาเซียน

อาเซียนยังมีโครงการ ASEAN Investment Area (AIA) สำหรับช่วยลดความเหลื่อมล้ำในประเทศสมาชิก โดยเฉพาะ กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม โครงการนี้จะเน้นการพัฒนาขีดความสามารถของสมาชิก

สาธารณูปโภคพื้นฐานเป็นอีกประเด็นที่จะช่วยลดความแตกต่างทางเศรษฐกิจได้ อาเซียนมีแผนแม่บท ASEAN Master Plan of Connectivity ที่รัฐมนตรีการคลังของทุกประเทศจะต้องตัดสินใจสนับสนุนการพัฒนาสาธารณูปโภค เพื่อการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน ตัวอย่างที่ชัดเจนคือโครงการทางรถไฟสิงคโปร์-คุนหมิง ที่จะต่อเชื่อมกัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม นอกจากนี้เรายังมีเรื่องการคมนาคมทางทะเลด้วย

ธงอาเซียน

ถาม: อะไรคือแผนการที่จับต้องได้ในการพัฒนา SME ในอาเซียน

ตอบ: เรามีแผนจะสร้างฐานข้อมูลของผู้ประกอบการ SME เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในการส่งออก ฐานข้อมูลนี้จะช่วยให้ผู้ซื้อสินค้าสามารถดูรายการสินค้าที่มีขายได้ และจะสร้างเครือข่ายระหว่างกลุ่ม SME ด้วยกัน เรายังจะพัฒนาผู้ประกอบการเหล่านี้ให้ผ่านมาตรฐานของประเทศที่นำเข้าสินค้า

SME ควรจะได้ประโยชน์จากการรวมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เราสนับสนุนให้ผู้ประกอบการส่งออกสินค้า โดยจัดหาข้อมูลที่จำเป็น โดยเฉพาะเรื่อง FTA และกฎเกณฑ์ต่างๆ ของแต่ละประเทศที่ซื้อสินค้า

ถาม: เราต้องปรับตัวอย่างไรจึงจะอยู่รอดในวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่กำลังเกิดขึ้น

ตอบ: นี่เป็นช่วงเวลาที่เราควรรวมตัวกันเพื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นใน โลกด้วยกัน ในปี 2009 อัตราการเติบโตของอาเซียนทั้งหมดลดลง 1.6% เนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เริ่มขึ้นในปี 2008 แต่ปีถัดมา 2010 อัตราก็กลับมาเติบโตขึ้น 7.6%

แนวโน้มนี้แสดงให้เห็นว่าถึงแม้จะมีปัญหา แต่เราสามารถกลับมาได้เร็ว และเราควรสร้างตลาดภายในอาเซียนให้มากขึ้น

ถาม: กลไกด้านการเงินอย่าง Chiang Mai Initiative (การแลกเปลี่ยนเงินทุนสำรองระหว่างกลุ่มประเทศอาเซียน) และการแลกเปลี่ยนเงินทุนสำรองระหว่างประเทศสมาชิกเป็นคู่ๆ จะพร้อมรับมือวิกฤตทางการเงินแค่ไหน

ตอบ: นี่เป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีการคลังของอาเซียน แต่พื้นฐานแล้ว กลไกเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองวิกฤตทางการเงินเอเชียปี 1997-1998 โดยหวังจะเป็น “เข็มขัดนิรภัย” ถ้าหากมีเงินลงทุนขนาดใหญ่มากไหลออกจากกลุ่มประเทศอาเซียน แต่กลไกลนี้ยังเป็นแค่กลไกระดับภูมิภาค โดยการร่วมมือกับ IMF

ต้นฉบับจาก The Jakarta Post





ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ดาวน์โหลดหนังสือมานี มานะ ไฟล์ PDF ฟรี ขอบคุณ (ครูเชียงรายดอทเน็ต www.kruchiangrai.net)

รวมมุกขำขำ มุกตลก มุกงานเลี้ยง มุกพิธีกร

K-SME Analysis ธุรกิจชานมไข่มุก จากไต้หวัน