SMEs รับมืออย่างไรดี?....เมื่อสินค้าจากเพื่อนบ้านรุกเข้ามาทดแทนสินค้าไทย
SMEs รับมืออย่างไรดี?....เมื่อสินค้าจากเพื่อนบ้านรุกเข้ามาทดแทนสินค้าไทย
สมัครรับบทวิเคราะห์ธุรกิจดีๆอย่างนี้ได้ฟรีที่ KSME STARTUP http://goo.gl/EXFDb |
ธุรกิจ
SMEs ของไทยมีมูลค่าเศรษฐกิจคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 37 ของ GDP นอกภาคเกษตรกรรมของไทย
ปัจจุบันต้องเผชิญแรงกดดันจากการแข่งขันที่สูงขึ้นของสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ
โดยเฉพาะการนำเข้าสินค้าคู่แข่งจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีการผลิตและส่งออกสินค้าในรายการที่คล้ายคลึงกับ
SMEs ไทย โดยไทยการนำเข้าสินค้า SMEs จากจีนเป็นอันดับ
2 ด้วยสัดส่วนร้อยละ 15.8 ของการนำเข้าสินค้า SMEs ของไทย(ญี่ปุ่นเป็นอันดับ
1 มีสัดส่วนร้อยละ 18.2) ซึ่งผลของการเปิดเสรีการค้าระหว่างประเทศภายใต้กรอบการค้าเสรีอาเซียน(AFTA) และกรอบอาเซียน-จีน(ACFTA)
ทำให้การค้าของไทยกับประเทศเพื่อนบ้านสะดวกมากขึ้น ทำให้การค้า SMEs ของไทยอาจต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
จึงมีความเป็นไปได้ว่าสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดกับไทยไม่ว่าจะเป็น
จีน มาเลเซีย สิงคโปร์ สปป.ลาว พม่า เวียดนาม และกัมพูชา
จะมีโอกาสเข้ามาทดแทนสินค้าในไทย โดยอาศัยความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิต
เทคโนโลยี และทรัพยากรธรรมชาติ
ซึ่งการรุกเข้ามาของสินค้านำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีอย่างต่อเนื่องก็อาจกระทบให้
SMEs
ในไทยสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้แก่ประเทศเพื่อนบ้านของไทย
โดยเฉพาะการนำเข้าสินค้าจากจีนซึ่งครองความสามารถเป็นแหล่งนำเข้า SMEs ของไทยเกือบทุกรายการ
อย่างไรก็ตาม
การไหลเข้ามาของสินค้านำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านก็อาจสร้างประโยชน์ต่อภาคการผลิตของไทยได้ในระดับหนึ่ง
โดยเฉพาะการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบขั้นต้น สินค้าขั้นกลางและสินค้าสำเร็จรูป
ซึ่งสามารถนำมาต่อยอดผลิตและส่งออกไปยังต่างประเทศสร้างรายได้ให้แก่ไทย ดังนั้น
ท่ามกลางภาวะการแข่งขันที่มีแนวโน้มรุนแรงมากยิ่งขึ้น นักธุรกิจไทยควรเร่งปรับตัวเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ
SMEs ของไทยโดยรวม ซึ่งผู้ประกอบการ
SMEs ไทยควรศึกษาจุดอ่อนจุดแข็งของแต่ละประเทศ
เพื่อประโยชน์ในการปรับตัวรองรับการแข่งขัน โดยประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่ม CLMV
ส่วนใหญ่มีข้อได้เปรียบเด่นชัดในเรื่องทรัพยากรธรรมชาติและต้นทุนแรงงานที่ค่อนข้างต่ำกว่าไทยโดยเปรียบเทียบ
จึงควรใช้ประโยชน์จากการนำเข้าวัตถุดิบขั้นต้นมาต่อยอดการผลิตเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าและจำหน่ายทั้งในไทย
หรืออาจส่งกลับไปขายยังประเทศ CLMV หรือประเทศอื่นๆได้อีกทางหนึ่ง
ส่วนมาเลเซียและสิงคโปร์มีจุดแข็งในเรื่องเทคโนโลยีการผลิต นวัตกรรม
การออกแบบผลิตภัณฑ์ และมาตรฐานสินค้า ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องเร่งยกระดับประสิทธิภาพแรงงานควบคู่ไปกับการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลิตภัณฑ์
ขณะที่จีนเป็นประเทศคู่แข่งรายสำคัญที่มีข้อได้เปรียบหลายด้าน อีกทั้งยังมีความสามารถในการผลิตสินค้าค่อนข้างครอบคลุมห่วงโซ่การผลิตโดยรวม
จึงนับว่าจีนเป็นคู่แข่งที่มีศักยภาพและมีโอกาสที่จะก้าวมาทดแทนสินค้าในตลาดประเทศไทยได้ค่อนข้างมาก
นับเป็นโจทย์ที่ท้าทายของนักธุรกิจไทยที่จะรักษาตลาดนอกเหนือจากการใช้กลยุทธ์ด้านสินค้าคุณภาพเพราะจีนได้เร่งพัฒนาคุณภาพมาตรฐานสินค้าให้เป็นที่ยอมรับมากขึ้น
สำหรับการปรับตัวด้านอื่นๆ ที่ช่วยเพิ่มศักยภาพของ
SMEs ไทย ได้แก่ การรุกตลาดส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก FTA
ภายใต้กรอบต่างๆช่วยบริหารต้นทุนการผลิตให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ รวมทั้งการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมีความรับผิดชอบต่อสังคมช่วยเพิ่มโอกาสแข่งขันทั้งในประเทศและส่งออกไปยังต่างประเทศ
โดยเฉพาะตลาดสหภาพยุโรป(EU) สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ซึ่งให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมค่อนข้างชัดเจน
อีกทั้งยังมีกำลังซื้อสูงด้วย
ความคิดเห็น