วิเคราะห์งบ และกลยุทธ์ธุรกิจ CPALL 2024 แถลงงบสิ้นปี FY2024 วันที่ 28 กพ 2567
แต่วันนี้ตัวเลขออกมาแล้วเรามาดูเฉพาะตัวเลขผลประกอบการและขอเสริมมุมมองของธุรกิจค้าปลีก เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้บริหาร เจ้าของร้านค้าปลีก ที่จะดูตัวเลขแล้วนำไปประเมินกับของตัวเองดูเป็นตัวเทียบว่า เบอร์หนึ่งค้าปลีกแบบร้านสะดวกซื้อไทยทำได้แบบนี้เราเก่งกว่าหรือเจ๋งกว่าด้านไหน ด้านไหนต้องปรับปรุงบ้าง
บริษัท ชีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) รายงานผลการดำเนินงาน ประจำปี 2567 โดยฐานะการเงินและผลการดำเนินงานตามงบการเงินรวมของบริษัทฯ และบริษัทย่อยมาจากธุรกิจหลัก คือ
จากผลประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้นทุกหน่วยธุรกิจตามการเพิ่มขึ้นของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และการบริโภคภายในประเทศที่ยังคงเพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา
(ข้างบนเมื่อกี๊คือข่าวจาก PR )
จากข้อมูลข้างต้น แสดงให้เห็นว่า CP ALL มีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 โดยทั้งผลการดำเนินงานโดยรวมและผลการดำเนินงานเฉพาะของบริษัทฯ มีการเติบโตในทุกด้าน ทั้งรายได้รวม กำไรสุทธิ อัตรากำไรขั้นต้น และอัตรากำไรจากการดำเนินงาน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและความสามารถในการสร้างผลกำไรของบริษัทฯ
ข้อสังเกต:
- การเติบโตของกำไรสุทธิในอัตราที่สูงกว่าการเติบโตของรายได้รวม บ่งชี้ถึงการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ
- การเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรจากการดำเนินงาน แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯ ที่เพิ่มขึ้น
สรุปผลประกอบการทางการเงินปี 2567
ภาพรวมผลการดำเนินงาน (Consolidated Performance):
- รายได้รวม: 987,794 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.2%
- กำไรสุทธิ: 25,346 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.1%
- อัตรากำไรขั้นต้น (GP Margin): 22.6% เพิ่มขึ้น 10.3%
- อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (EBIT Margin): 5.2% เพิ่มขึ้น 19.5%
ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ เท่านั้น (Company Only Performance):
- รายได้รวม: 473,009 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.1%
- กำไรสุทธิ: 21,564 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.0%
- อัตรากำไรขั้นต้น (GP Margin): 29.0% เพิ่มขึ้น 13.0%
- อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (EBIT Margin): 7.1% เพิ่มขึ้น 25.6%
สรุป:
จากข้อมูลข้างต้น แสดงให้เห็นว่าบริษัทฯ มีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในปี 2567 โดยทั้งผลการดำเนินงานโดยรวมและผลการดำเนินงานเฉพาะของบริษัทฯ มีการเติบโตในทุกด้าน ทั้งรายได้รวม กำไรสุทธิ อัตรากำไรขั้นต้น และอัตรากำไรจากการดำเนินงาน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและความสามารถในการสร้างผลกำไรของบริษัทฯ
ข้อสังเกต:
- การเติบโตของกำไรสุทธิในอัตราที่สูงกว่าการเติบโตของรายได้รวม บ่งชี้ถึงการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ
- การเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรจากการดำเนินงาน แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯ ที่เพิ่มขึ้น
สรุปผลการดำเนินงานตามกลุ่มธุรกิจปี 2567 ที่มาของกำไรที่โตมากขึ้นเยอะ
ภาพนี้แสดงผลการดำเนินงานของ CP ALL ในปี 2567 แบ่งตามกลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่:
- CPAXT (ธุรกิจค้าส่งแม็คโคร)
- CVS (ธุรกิจร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น)
- Others (ธุรกิจอื่นๆ)
1. สัดส่วนรายได้ก่อนตัดรายการระหว่างกัน (FY2024 Revenue contribution before elimination):
- CPAXT: 48%
- CVS: 45%
- Others: 7%
รายละเอียดรายได้:
- ค้าส่ง (Wholesale):
- ยอดขาย: 273,491 ล้านบาท (+5.3%)
- บริการ: 5,040 ล้านบาท (-5.3%)
- ค้าปลีก (Retail):
- ยอดขาย: 215,370 ล้านบาท (+4.3%)
- บริการ: 14,844 ล้านบาท (-0.5%)
2. สัดส่วนกำไรก่อนหักภาษี (EBT) ก่อนตัดรายการระหว่างกัน (FY2024 EBT contribution before elimination):
- CPAXT: 57%
- CVS: 31%
- Others: 12%
รายละเอียดกำไรก่อนหักภาษี:
- ค้าส่ง (Wholesale): 6,930 ล้านบาท (-7.4%)
- ค้าปลีก (Retail): 6,484 ล้านบาท (+85.7%)
สรุป:
- CPAXT: เป็นกลุ่มธุรกิจที่มีสัดส่วนรายได้และกำไรก่อนหักภาษีมากที่สุด แม้ว่ากำไรก่อนหักภาษีในกลุ่มค้าส่งจะลดลงเล็กน้อย
- CVS: มีสัดส่วนรายได้ใกล้เคียงกับ CPAXT แต่มีกำไรก่อนหักภาษีน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม กำไรก่อนหักภาษีในกลุ่มค้าปลีกเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
- Others: มีสัดส่วนรายได้และกำไรก่อนหักภาษีน้อยที่สุด
หมายเหตุ:
- CP ALL ถือหุ้นใน CPAXT ประมาณ 60%
- ข้อมูลนี้เป็นการแสดงผลการดำเนินงานก่อนตัดรายการระหว่างกัน ซึ่งอาจแตกต่างจากผลการดำเนินงานที่แสดงในงบการเงินรวม
ข้อสังเกต:
- การเติบโตของกำไรก่อนหักภาษีในกลุ่มค้าปลีก (Retail) ที่สูงมาก อาจเป็นผลมาจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานหรือปัจจัยอื่นๆ ที่ควรพิจารณาในรายละเอียดเพิ่มเติม
- การลดลงของกำไรก่อนหักภาษีในกลุ่มค้าส่ง (Wholesale) อาจต้องมีการวิเคราะห์ปัจจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อวางแผนการดำเนินงานในอนาคต
สรุปการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ของ CP ALL
ภาพนี้แสดงข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมของ CP ALL ตั้งแต่ปี 2020 ถึง 2024 โดยเน้นที่ 4 ตัวชี้วัดหลัก:
1. อัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG %):
- 2020: -14.5% (ลดลงอย่างมากเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19)
- 2021: -6.7% (ยังคงลดลงแต่ลดลงน้อยกว่าปี 2020)
- 2022: +15.9% (ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย)
- 2023: +5.5% (เติบโตต่อเนื่อง)
- 2024: +3.8% (ยังคงเติบโตแต่ในอัตราที่ชะลอตัวลง)
2. ยอดขายเฉลี่ยต่อวันต่อสาขา (บาท):
- 2020: 70,639 บาท
- 2021: 66,085 บาท (ลดลง)
- 2022: 76,327 บาท (เพิ่มขึ้น)
- 2023: 80,837 บาท (เพิ่มขึ้น)
- 2024: 83,906 บาท (เพิ่มขึ้น)
3. ยอดซื้อเฉลี่ยต่อใบเสร็จ (บาท):
- 2020: 75 บาท
- 2021: 82 บาท (เพิ่มขึ้น)
- 2022: 84 บาท (เพิ่มขึ้น)
- 2023: 83 บาท (ลดลงเล็กน้อย)
- 2024: 85 บาท (เพิ่มขึ้น)
4. จำนวนลูกค้าเฉลี่ยต่อสาขาต่อวัน (คน):
- 2020: 949 คน
- 2021: 805 คน (ลดลง)
- 2022: 916 คน (เพิ่มขึ้น)
- 2023: 965 คน (เพิ่มขึ้น)
- 2024: 978 คน (เพิ่มขึ้น)
สรุป:
- การฟื้นตัวหลังโควิด: CP ALL ฟื้นตัวจากผลกระทบของโควิด-19 ได้อย่างรวดเร็วในปี 2022 และยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
- การเติบโตที่ชะลอตัว: อัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ในปี 2024 ชะลอตัวลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปี 2023
- ยอดขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น: ยอดขายเฉลี่ยต่อวันต่อสาขายังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของสาขา
- ยอดซื้อเฉลี่ยต่อใบเสร็จเพิ่มขึ้น: ยอดซื้อเฉลี่ยต่อใบเสร็จในปี 2024 เพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นถึงการใช้จ่ายของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น
- จำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้น: จำนวนลูกค้าเฉลี่ยต่อสาขาต่อวันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงความนิยมของร้านค้า
และโปรโมชั่น 7 วัน ที่ทำให้ลูกค้าเข้ามาแล้วรีบตัดสินใจซื้อ แต่พนักงานเหนื่อยมากในการจำโปรโมชั่นทุกๆสัปดาห์ ^_^)'
ส่วนจำนวนลูกค้าเข้าต่อวันเยอะขึ้นคือการทำให้คนมาซ์้อต่อเนื่อง เช่น ภาระกิจซื้อข้างกล่องครอบห้ากล่องในหนึ่งสัปดาห์จะได้รับข้าวกล่องฟรี ทำให้คนเข้าบ่อยขึ้น
สรุปส่วนผสมยอดขายผลิตภัณฑ์และอัตรากำไรขั้นต้นของ CP ALL นี่คือไฮไลท์ของปีเลย นะเนี่ย
1. ส่วนผสมยอดขายผลิตภัณฑ์ (Product Sales Mix):
ยอดขายมาจากสินค้าอะไรบ้าง มองจากท้องฟ้ามาก็รู้ว่าคนเข้าร้าน 7eleven มาเพื่อซื้ออาหารตามคำที่คุ้นเคย หิ้วเมื่อไหร่ก็แวะมา แต่ในทาการบริหาร บริษัทได้เปลี่ยน Product mix สินค้ามาระยะหนึ่งแล้ว เป็นร้านสะดวกทุกเรื่อง สินค้าหลากหลาย ทั้งออนไลน์ออฟไลน์ ทำให้มีโอกาสในการขายสินค้าที่หลากหลายมากขึ้น และสินค้าที่มี GP ดีมากขึ้นหลายอย่างเป็นตัวเร่งให้เกิดยอดกำไรที่สูง
- ภาพรวม: กราฟแท่งแสดงสัดส่วนยอดขายระหว่าง "อาหาร" (Foods) และ "ไม่ใช่อาหาร" (Non-Foods) ตั้งแต่ปี 2020 ถึง 2024
- แนวโน้ม:
- สัดส่วนยอดขายของ "ไม่ใช่อาหาร" เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 28.6% ในปี 2020 เป็น 76.0% ในปี 2024
- สัดส่วนยอดขายของ "อาหาร" ลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 71.4% ในปี 2020 เป็น 24.0% ในปี 2024 ในความเป็นจริงยอดขายอาหารไม่ได้ตก แต่เป็นสัดส่วนที่ตกลง เพราะสินค้าหมวดอื่นดีขึ้นเยอะมากๆ
- รายละเอียดกลุ่มผลิตภัณฑ์:
- ไม่ใช่อาหาร: ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์หลากหลาย เช่น ของใช้ส่วนตัว (Personal Care), ของใช้ในครัวเรือนและอื่นๆ (Household & Others), บุหรี่ (Cigarette)
- อาหาร: ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์หลากหลาย เช่น อาหารพร้อมทาน (Food Services i.e. RTE), อาหารแปรรูป (Processed Food), เครื่องดื่ม (Beverage)
2. อัตรากำไรขั้นต้นของผลิตภัณฑ์ (Product Margin):
- ภาพรวม: กราฟเส้นแสดงอัตรากำไรขั้นต้นของ "อาหาร," "ไม่ใช่อาหาร," และ "ผลิตภัณฑ์รวม" ตั้งแต่ปี 2020 ถึง 2024
- แนวโน้ม:
- อัตรากำไรขั้นต้นของ "ไม่ใช่อาหาร" สูงกว่า "อาหาร" อย่างต่อเนื่อง
- อัตรากำไรขั้นต้นของ "ไม่ใช่อาหาร" เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2024
- อัตรากำไรขั้นต้นของ "อาหาร" ค่อนข้างคงที่ในช่วงปี 2020-2023 และเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในปี 2024
- อัตรากำไรขั้นต้นของ "ผลิตภัณฑ์รวม" เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วงปี 2020-2023 และเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2024
สรุป:
- การเปลี่ยนแปลงส่วนผสมผลิตภัณฑ์: CP ALL มีการเปลี่ยนแปลงส่วนผสมผลิตภัณฑ์ โดยเน้นการขาย "ไม่ใช่อาหาร" มากขึ้น ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่า สินค้าที่ทำกำไรให้ได้มหาศาลนั่นคือ กลุ่ม Personal care สินค้าดังจากออนไลน์ลงสู่ตลาดออฟไลน์ นั่นเอง
เดี๋ยวนี้ใครเข้าเซเว่น จะเห็นครีมซอง เครื่องสำอางสะดวกซื้อเยอะมากๆๆๆๆๆ
นอกจากนั้นยังมีกลุ่มดาวรุ่งใหม่ๆ อาทิ สินค้าคนแก่ สินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงที่เติบโต ตามเทรนด์อีกด้วย - การเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้น: การเปลี่ยนแปลงส่วนผสมผลิตภัณฑ์ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมของบริษัทฯ เพิ่มขึ้น
- การจัดการส่วนผสมผลิตภัณฑ์: บริษัทฯ มีการจัดการส่วนผสมผลิตภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น
สรุปค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ของ CP ALL
1. ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารรวม (Consolidated SG&A Expense):
- ภาพรวม: กราฟแท่งแสดงค่าใช้จ่าย SG&A รวม (ล้านบาท) และกราฟเส้นแสดงสัดส่วนค่าใช้จ่าย SG&A ต่อรายได้รวม (%) ตั้งแต่ปี 2020 ถึง 2024
- แนวโน้ม:
- ค่าใช้จ่าย SG&A รวมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 107,858 ล้านบาทในปี 2020 เป็น 194,588 ล้านบาทในปี 2024 (เพิ่มขึ้น 8.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน)
- สัดส่วนค่าใช้จ่าย SG&A ต่อรายได้รวม (%) ค่อนข้างคงที่ โดยอยู่ในช่วง 19.3% - 21.1%
- รายละเอียดค่าใช้จ่าย:
- ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร (Personnel) มีสัดส่วนมากที่สุด (32.5%)
- ค่าเช่าและค่าเสื่อมราคา (Rental and D&A) มีสัดส่วน 13.4%
- ค่าธรรมเนียมการจัดการร้านค้า (Store MGT Fee) มีสัดส่วน 10.4%
- ค่าโฆษณา (Advertising) มีสัดส่วน 10.0%
- ค่าสาธารณูปโภค (Utilities) มีสัดส่วน 14.5%
- ค่าใช้จ่ายอื่นๆ (Others) มีสัดส่วนที่เหลือ
2. ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารของบริษัทฯ เท่านั้น (Company Only SG&A Expense):
- ภาพรวม: กราฟแท่งแสดงค่าใช้จ่าย SG&A ของบริษัทฯ เท่านั้น (ล้านบาท) และกราฟเส้นแสดงสัดส่วนค่าใช้จ่าย SG&A ต่อรายได้รวม (%) ตั้งแต่ปี 2020 ถึง 2024
- แนวโน้ม:
- ค่าใช้จ่าย SG&A ของบริษัทฯ เท่านั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 89,134 ล้านบาทในปี 2020 เป็น 126,982 ล้านบาทในปี 2024 (เพิ่มขึ้น 9.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน)
- สัดส่วนค่าใช้จ่าย SG&A ต่อรายได้รวม (%) ค่อนข้างคงที่ โดยอยู่ในช่วง 26.8% - 28.2%
- รายละเอียดค่าใช้จ่าย:
- ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร (Personnel) มีสัดส่วน 27.9%
- ค่าเช่าและค่าเสื่อมราคา (Rental and D&A) มีสัดส่วนมากที่สุด (20.1%)
- ค่าธรรมเนียมการจัดการร้านค้า (Store MGT Fee) มีสัดส่วน 13.9%
- ค่าโฆษณา (Advertising) มีสัดส่วน 8.3%
- ค่าสาธารณูปโภค (Utilities) มีสัดส่วน 15.3%
- ค่าใช้จ่ายอื่นๆ (Others) มีสัดส่วนที่เหลือ
สรุป:
- การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่าย SG&A: ค่าใช้จ่าย SG&A ทั้งในระดับรวมและระดับบริษัทฯ เท่านั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- การควบคุมต้นทุน: บริษัทฯ พยายามควบคุมสัดส่วนค่าใช้จ่าย SG&A ต่อรายได้รวมให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
- โครงสร้างค่าใช้จ่าย: โครงสร้างค่าใช้จ่าย SG&A มีความแตกต่างกันเล็กน้อยระหว่างระดับรวมและระดับบริษัทฯ เท่านั้น โดยค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรและค่าเช่า/ค่าเสื่อมราคามีสัดส่วนมากที่สุด
หมายเหตุ
SG&A ย่อมาจาก Selling, General & Administrative Expenses หรือ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร คือค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของบริษัทที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการผลิตสินค้าหรือบริการ ซึ่งรวมถึง:
- ค่าใช้จ่ายในการขาย (Selling Expenses):
- ค่าคอมมิชชั่นพนักงานขาย
- ค่าโฆษณาและการตลาด
- ค่าขนส่งและจัดส่ง
- ค่าใช้จ่ายทั่วไปและบริหาร (General & Administrative Expenses):
- เงินเดือนพนักงานฝ่ายบริหารและธุรการ
- ค่าเช่าสำนักงาน
- ค่าสาธารณูปโภค (ค่าน้ำ ค่าไฟ)
- ค่าใช้จ่ายด้านกฎหมายและบัญชี
- ค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์สำนักงาน
ความสำคัญของ SG&A
- SG&A เป็นตัวบ่งชี้สำคัญของประสิทธิภาพในการบริหารจัดการของบริษัท
- การควบคุมค่าใช้จ่าย SG&A อย่างมีประสิทธิภาพสามารถเพิ่มกำไรสุทธิของบริษัทได้
- นักลงทุนและนักวิเคราะห์ทางการเงินใช้ SG&A เพื่อประเมินความสามารถในการทำกำไรและความสามารถในการแข่งขันของบริษัท
การวิเคราะห์ SG&A
- การเปรียบเทียบ SG&A กับรายได้รวม เพื่อดูสัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้
- การเปรียบเทียบ SG&A กับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน
- การวิเคราะห์แนวโน้มของ SG&A ในช่วงเวลาต่างๆ เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของค่าใช้จ่าย
สรุปการแบ่งประเภทของร้านค้า CP ALL
1. การแบ่งตามพื้นที่ (BKK & Suburban / Provincial):
- ภาพรวม: กราฟแท่งแสดงจำนวนร้านค้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล (BKK & Suburban) และต่างจังหวัด (Provincial) ตั้งแต่ปี 2020 ถึง 2024
- แนวโน้ม:
- จำนวนร้านค้าในต่างจังหวัด (Provincial) มีสัดส่วนมากกว่ากรุงเทพฯ และปริมณฑล (BKK & Suburban) อย่างต่อเนื่อง
- จำนวนร้านค้าในทั้งสองพื้นที่เพิ่มขึ้นทุกปี
- รายละเอียด:
- BKK & Suburban: เพิ่มขึ้นจาก 5,431 ร้านในปี 2020 เป็น 6,435 ร้านในปี 2024 (เพิ่มขึ้น 42%)
- Provincial: เพิ่มขึ้นจาก 7,001 ร้านในปี 2020 เป็น 8,810 ร้านในปี 2024 (เพิ่มขึ้น 58%)
2. การแบ่งตามรูปแบบการบริหาร (Corporate / Store Business Partner & Sub-area):
- ภาพรวม: กราฟแท่งแสดงจำนวนร้านค้าที่บริหารโดยบริษัทฯ (Corporate) และร้านค้าที่บริหารโดยพันธมิตรทางธุรกิจและผู้รับช่วง (Store Business Partner & Sub-area) ตั้งแต่ปี 2020 ถึง 2024
- แนวโน้ม:
- จำนวนร้านค้าที่บริหารโดยพันธมิตรทางธุรกิจและผู้รับช่วง (Store Business Partner & Sub-area) มีสัดส่วนมากกว่าร้านค้าที่บริหารโดยบริษัทฯ (Corporate) อย่างต่อเนื่อง
- จำนวนร้านค้าในทั้งสองรูปแบบเพิ่มขึ้นทุกปี
- รายละเอียด:
- Corporate: เพิ่มขึ้นจาก 5,685 ร้านในปี 2020 เป็น 7,743 ร้านในปี 2024 (เพิ่มขึ้น 51%)
- Store Business Partner & Sub-area: เพิ่มขึ้นจาก 6,747 ร้านในปี 2020 เป็น 7,502 ร้านในปี 2024 (เพิ่มขึ้น 49%)
3. การแบ่งตามลักษณะที่ตั้ง (Stand-alone / In PTT gas station):
- ภาพรวม: กราฟแท่งแสดงจำนวนร้านค้าแบบ Stand-alone และร้านค้าที่ตั้งอยู่ในสถานีบริการน้ำมัน ปตท. (In PTT gas station) ตั้งแต่ปี 2020 ถึง 2024
- แนวโน้ม:
- ร้านค้าแบบ Stand-alone มีสัดส่วนมากกว่าร้านค้าที่ตั้งอยู่ในสถานีบริการน้ำมัน ปตท. (In PTT gas station) อย่างต่อเนื่อง
- จำนวนร้านค้าในทั้งสองลักษณะเพิ่มขึ้นทุกปี
- รายละเอียด:
- Stand-alone: เพิ่มขึ้นจาก 10,608 ร้านในปี 2020 เป็น 13,084 ร้านในปี 2024 (เพิ่มขึ้น 86%)
- In PTT gas station: เพิ่มขึ้นจาก 1,824 ร้านในปี 2020 เป็น 2,161 ร้านในปี 2024 (เพิ่มขึ้น 14%)
4. การขยายสาขา (Store Expansion):
- ภาพรวม: ตารางแสดงจำนวนร้านค้าที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี ตั้งแต่ปี 2020 ถึง 2024
- รายละเอียด:
- ปี 2020: เพิ่มขึ้น 720 ร้าน
- ปี 2021: เพิ่มขึ้น 702 ร้าน
- ปี 2022: เพิ่มขึ้น 704 ร้าน
- ปี 2023: เพิ่มขึ้น 707 ร้าน
- ปี 2024: เพิ่มขึ้น 700 ร้าน
สรุป:
- การขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง: CP ALL มีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องในทุกรูปแบบและทุกพื้นที่
- การเติบโตในต่างจังหวัด: การเติบโตของร้านค้าในต่างจังหวัดมีอัตราสูงกว่ากรุงเทพฯ และปริมณฑล
- การเน้นร้านค้า Stand-alone: ร้านค้าแบบ Stand-alone ยังคงเป็นรูปแบบหลักในการขยายสาขา
- การเติบโตอย่างสม่ำเสมอ: จำนวนร้านค้าที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปีค่อนข้างสม่ำเสมอ
- ใช้พลังของพันธมิตร : ในการเติบโต SBP ที่คัดเลือกรุ่นใหม่ๆ ร้านค้าใหม่หน้าใหม่น้อยลงมากยกเว้นคนที่เป็นเจ้าของปั๊มปตท. ส่วนใหญ่ให้ร้านที่เป็น SBP เดิบขยายสาขา ส่วนร้านที่เป็นปั๊มน้ำมัน จะได้คนที่มีประสบกรณ์และความสามารถในการบริหารมาร่วมบริหาร โดยให้แรงจูงใจในสัดส่วนกำไรที่มากเป็นพิเศษ ตามดิลของ ปตท และ CPALL
ข้อสังเกต:
- ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของธุรกิจ CP ALL และการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง
- การเพิ่มขึ้นของร้านค้าในต่างจังหวัดแสดงให้เห็นถึงการเข้าถึงลูกค้าในพื้นที่ต่างๆ ได้มากขึ้น
- การเพิ่มขึ้นของร้านค้าแบบ Stand-alone แสดงให้เห็นถึงความนิยมของร้านค้าที่ตั้งอยู่ภายนอกสถานีบริการน้ำมัน
ภาพรวม:
CP ALL มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและมีการบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนที่มีประสิทธิภาพ โดยมีวงจรเงินสดติดลบ ซึ่งหมายความว่าบริษัทฯ ได้รับเงินสดจากลูกค้าก่อนที่จะต้องจ่ายเงินสดให้กับเจ้าหนี้
1. ฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง (อัตราส่วนทางการเงิน):
- หนี้สินที่มีดอกเบี้ย:
- CPALL มีหนี้สินที่มีดอกเบี้ยรวม 316,532 ล้านบาท (งบการเงินรวม)
- โดยส่วนใหญ่เป็นหุ้นกู้ (Debenture) 88% และเงินกู้จากธนาคาร (Bank Loan) 12%
- เฉพาะบริษัทฯ มีหนี้สินจากหุ้นกู้ 100%
- อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น:
- อยู่ที่ 0.78 เท่า ซึ่งต่ำกว่าเงื่อนไขของหุ้นกู้ที่กำหนดไว้ 2.0 เท่า
- แสดงให้เห็นว่าบริษัทฯ มีความสามารถในการชำระหนี้ได้ดี
- ต้นทุนเฉลี่ยของหุ้นกู้:
- ต่ำกว่า 4% และมีอายุเฉลี่ยประมาณ 5 ปี
- แสดงให้เห็นว่าบริษัทฯ มีการบริหารจัดการหนี้สินที่มีประสิทธิภาพ
เปรียบเทียบให้เห็นภาพ:
- ลองนึกภาพว่า CP ALL เหมือนบ้านที่มีเงินเก็บ (ส่วนของผู้ถือหุ้น) 319,611 ล้านบาท และมีหนี้สิน (หนี้สินที่มีดอกเบี้ย) 316,532 ล้านบาท
- อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ 0.78 เท่า หมายความว่าบริษัทฯ มีเงินเก็บมากกว่าหนี้สินที่ต้องจ่าย ซึ่งแสดงถึงความมั่นคงทางการเงิน
2. การบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนที่มีประสิทธิภาพ (เงินทุนหมุนเวียน):
- วงจรเงินสดติดลบ:
- วงจรเงินสดรวมอยู่ที่ -32.6 วัน
- วงจรเงินสดเฉพาะธุรกิจร้านสะดวกซื้อ (CVS) อยู่ที่ -36.7 วัน
- หมายความว่า CP ALL ได้รับเงินสดจากลูกค้าเร็วกว่าที่จะต้องจ่ายเงินสดให้กับเจ้าหนี้
- จำนวนวันของเจ้าหนี้การค้า (AP Days):
- สูงถึง 63.3 วัน (ระดับรวม) และ 60.7 วัน (CVS)
- แสดงให้เห็นถึงอำนาจต่อรองของ CP ALL กับเจ้าหนี้
เปรียบเทียบให้เห็นภาพ:
- ลองนึกภาพว่า CP ALL เหมือนร้านค้าที่ขายสินค้าได้เงินสดทันที แต่มีเวลาจ่ายเงินให้ซัพพลายเออร์ (เจ้าหนี้) นานถึง 60 กว่าวัน
- ทำให้บริษัทฯ มีเงินสดหมุนเวียนในมือมากขึ้น และสามารถนำไปใช้ในการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สรุป:
CP ALL มีฐานะทางการเงินที่มั่นคงและมีการบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนที่ดีเยี่ยม ทำให้บริษัทฯ มีความสามารถในการดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ภาพรวมผลประกอบการ (ปี 2567):
- รายได้รวม: 987,794 ล้านบาท (+7.2%)
- กำไรสุทธิ: 25,346 ล้านบาท (+37.1%)
- อัตรากำไรขั้นต้น (GP Margin): 22.6% (+10.3%)
- อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (EBIT Margin): 5.2% (+19.5%)
ผลการดำเนินงานตามกลุ่มธุรกิจ (ปี 2567):
- CPAXT (ค้าส่งแม็คโคร):
- สัดส่วนรายได้: 48%
- สัดส่วนกำไรก่อนหักภาษี (EBT): 57%
- CVS (ร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น):
- สัดส่วนรายได้: 45%
- สัดส่วนกำไรก่อนหักภาษี (EBT): 31%
การเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG):
- ปี 2567: +3.8%
- ยอดขายเฉลี่ยต่อวันต่อสาขา: 83,906 บาท
- ยอดซื้อเฉลี่ยต่อใบเสร็จ: 85 บาท
- จำนวนลูกค้าเฉลี่ยต่อสาขาต่อวัน: 978 คน
ส่วนผสมยอดขายผลิตภัณฑ์และอัตรากำไรขั้นต้น:
- สัดส่วนยอดขาย "ไม่ใช่อาหาร" เพิ่มขึ้นเป็น 76.0% (ปี 2567)
- อัตรากำไรขั้นต้น "ไม่ใช่อาหาร": 28.8% (ปี 2567)
- อัตรากำไรขั้นต้น "อาหาร": 27.2% (ปี 2567)
ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A):
- งบการเงินรวม: 194,588 ล้านบาท (+8.2% YoY)
- เฉพาะบริษัทฯ: 126,982 ล้านบาท (+9.6% YoY)
การแบ่งประเภทของร้านค้า:
- ร้านค้าในต่างจังหวัด (Provincial) มีสัดส่วนมากกว่ากรุงเทพฯ และปริมณฑล
- ร้านค้าที่บริหารโดยพันธมิตรทางธุรกิจและผู้รับช่วง มีสัดส่วนมากกว่าร้านค้าที่บริหารโดยบริษัทฯ
- ร้านค้าแบบ Stand-alone มีสัดส่วนมากกว่าร้านค้าในสถานีบริการน้ำมัน ปตท.
อัตราส่วนความสามารถในการทำกำไร (งบการเงินรวม):
- อัตรากำไรขั้นต้น: 22.6% (ปี 2567)
- อัตรากำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (EBIT): 5.2% (ปี 2567)
- อัตรากำไรสุทธิ: 2.6% (ปี 2567)
อัตราส่วนทางการเงิน:
- หนี้สินที่มีดอกเบี้ย: 316,532 ล้านบาท (งบการเงินรวม)
- อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น: 0.78 เท่า
เงินทุนหมุนเวียน:
- วงจรเงินสด: -32.6 วัน (งบการเงินรวม), -36.7 วัน (CVS)
คำแนะนำสำหรับเจ้าของธุรกิจค้าปลีก:
- มุ่งเน้นการเติบโตของกำไร:
- CP ALL แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของกำไรอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกำไรสุทธิ
- เจ้าของธุรกิจควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและการบริหารจัดการต้นทุน
- บริหารจัดการส่วนผสมผลิตภัณฑ์:
- CP ALL เน้นการขาย "ไม่ใช่อาหาร" ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่า
- เจ้าของธุรกิจควรวิเคราะห์ข้อมูลยอดขายและปรับส่วนผสมผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าและอัตรากำไร
- ควบคุมค่าใช้จ่าย:
- ค่าใช้จ่าย SG&A เป็นค่าใช้จ่ายที่สำคัญที่ควรควบคุม
- เจ้าของธุรกิจควรติดตามและวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อหาแนวทางในการลดต้นทุน
- บริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียน:
- วงจรเงินสดติดลบเป็นสัญญาณที่ดี แสดงว่าธุรกิจมีสภาพคล่องสูง
- เจ้าของธุรกิจควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียน เพื่อให้มีเงินสดหมุนเวียนเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ
- สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับซัพพลายเออร์:
- การมีอำนาจต่อรองกับซัพพลายเออร์จะทำให้ได้เครดิตการค้าที่ดี
- เจ้าของธุรกิจควรสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับซัพพลายเออร์ เพื่อให้ได้รับเงื่อนไขการค้าที่เหมาะสม
เครดิตข้อมูลจาก https://www.cpall.co.th/presentations
ความคิดเห็น