เป้าหมายชีวิต10ขั้น

บันได 10 ขั้น สู่เป้าหมายชีวิต

ในงานสัมมนา แจ็ค แคนฟิล นักพูดรับเชิญ ผู้จัดรายการโทรทัศน์ของ NBC News จะให้คำมั่นแก่ผู้เข้าสัมมนาเสมอว่า พวกเขาจะได้รับประโยชน์ 2 ข้อ คือ

1. เทคนิคในการเพิ่มผลงาน และคุณภาพชีวิต
บางคนอาจคิดว่าได้ฟังมาบ่อยแล้ว แต่อยากทราบว่า ที่ฟังมาบ่อยแล้ว ได้นำเอาไปปฏิบัติแล้วหรือไม่ และขอถามอีกหน่อยว่า มีวินัยแก่ตนเองหรือเปล่า อยากเป็นนักกอล์ฟ ต้องรู้จักพัทกอล์ฟเป็นร้อยครั้งในแต่ละวัน อยากเป็นนักวิ่งมาราธอนก็ต้องฝึกซ้อมวิ่งวันละ 15 ไมล์ ทุกวันเคลเมน สโตน ผู้ชักชวนแจ็คเข้าสู่วงการประกันชีวิต ทั้งสองได้ร่วมกันศึกษาถึงคนที่ก้าวสู่ความสำเร็จในระยะเวลา 20 ปี ว่าสำเร็จได้อย่างไร พูดว่า ขณะที่เราดูโทรทัศน์ เรากำลังดูคนอื่นทำรายได้ $ 20,000 ต่อชั่วโมงทีเดียว ฉะนั้นถ้าเราลดการดูลงวันละ 1 ชม. เราจะมีเวลาอีกถึง 365 ชม. ใน 1 ปี ถ้าเราอ่านหนังสือเกี่ยวกับงานแค่สัปดาห์ละเล่ม เราจะอ่านหนังสือได้ถึง 520 เล่มใน 10 ปี ถ้าเราทำอย่างสม่ำเสมอ แน่นอนจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้
เวลาที่เราตั้งเป้าหมายแล้วทำไม่ได้ เราจะเครียด เกิดปฏิกิริยาที่ไม่ดี จงทำให้ตัวเองผ่อนคลาย เช่น การนวด การออกกำลังกาย การผ่อนคลายจะทำให้เรารู้สึกดีขึ้น เบาสบาย ในครอบครัวเราควรจะพูดคุยกันแต่สิ่งดี ๆ พูดถึงสิ่งดีที่ทำให้แก่กัน หลาย ๆ ศาสนาให้สวดมนต์ภาวนาก่อนเข้านอน มีประโยชน์มาก เราต้องรู้จักดูแลตัวเอง เราทำงานหนัก ทำไปเพื่ออะไร เมื่อล้มป่วยเราก็ทำงานไม่ได้ ผู้ป่วยคนหนึ่งจะต้องผ่าตัดในวันรุ่งขึ้น แต่เขากลับคิดว่า ดีจริง จะได้หยุดงานตั้ง 6 เดือน คุณเป็นเช่นนี้หรือเปล่า ยอมแลกชีวิตกับการไม่ต้องทำงาน 6 เดือน
เหตุที่คนไม่สำเร็จ เพราะว่า ชอบสบาย โดยไม่ทำในสิ่งที่ต้องทำ แม้มีคนพร้อมที่จะแนะนำ ให้ข้อมูล และความช่วยเหลือ ดังนั้นอยากจะสำเร็จ ต้องรู้จักเหนื่อยยาก ทนต่ออุปสรรคได้ทุกวัน ผู้ชนะสร้างนิสัย สร้างวินัยให้แก่ตนเอง

2. ทำงานอย่างมีความสุข และทำได้อย่างสม่ำเสมอ
มีความภาคภูมิใจในการทำงาน โดยที่เราไม่ต้องควบคุมอะไรมาก จิมโลร์ พี่เลี้ยง (Mentor) คนหนึ่งของเขาให้ปรัชญาที่น่าฟังว่า คุณไม่สามารถจ้างใครให้มาพัฒนาตัวคุณได้ คุณไม่สามารถจ้างใครเต้นแอโรบิคแทนคุณเพื่อให้คุณแข็งแรงได้ ทั้งหมดนี้คุณต้องทำด้วยตัวคุณเอง
โรเบิรท์ ชูเลอร์ เขียนหนังสือ การนับถือตนเอง : วิวัฒนาการใหม่ เป็นเรื่องจิตวิทยาในการพัฒนาตนเอง มีการค้นพบว่า 1 ใน 3 เท่านั้นที่พอใจในสภาพของตัวเอง ดังนั้น เราต้องพัฒนาตัวเองจากภายในก่อน ให้ชื่นชมและนับถือตนเอง คนที่รู้สึกต่ำต้อย ไม่นับถือตัวเอง จะแสดงออกด้วยการติดเหล้าติดยา มีพฤติกรรมทางเพศที่เบี่ยงเบน
มีผู้สัมภาษณ์หมอคนหนึ่งว่า ทำไมจึงเป็นผู้ก่อให้เกิดความก้าวหน้าทางด้านการแพทย์มากมาย ท่านเอาความคิดเหล่านี้มาจากไหน หมอตอบว่า ต้องโทษคุณแม่ของผม โทษคุณแม่ของคุณหมอหรือ ทำไมล่ะครับ คุณหมอเล่าว่า เมื่อทำขวดนมหล่น นมกระจายเต็มพื้น (หยุดก่อน ! พวกเราจะทำอย่างไร หากลูกทำเช่นนี้) แม่พูดว่า ว้าว ! ลูกทำอะไรน่ะ นั่นเป็นพื้นซึ่งทำด้วยนมที่ใหญ่ที่สุดเชียว คงได้ลงกินเนสบุ๊คส์แน่ เราต้องช่วยกันทำความสะอาดพื้นนะ แต่เดี๋ยวก่อน เรามาเล่นกับนมก่อน เล่นกับนมเหรอฮะแม่ อ๋อใช่ เอาไม้มาวาง แล้วดีดดูซิว่าอันไหนไปได้เร็วกว่ากัน เมื่อเล่นกันพักหนึ่งคุณแม่ก็บอกว่า เราเล่นกันพอแล้ว ตอนนี้ต้องช่วยกันทำความสะอาด ลูกจะทำอะไรซับนมหรือถูพื้น แม่ตัวใหญ่ ผมตัวเล็ก ผมซับนม แม่ถูพื้น ดีไหม ? ยุติธรรมดี
หลังจากนั้น คุณแม่หยิบขวดนมแล้วเติมน้ำลงไป เราไปสนามหลังบ้าน แล้วช่วยกันหาวิธีหยิบขวดโดยไม่ให้น้ำหกนะ แม่ไม่ได้สอนวิธีต้องทำอย่างไร แต่ให้ลูกฝึกหัดและเรียนรู้ด้วยตัวเอง หนูน้อยทดลองหลายวิธี ที่สุดก็พบว่า ถ้าใช้มือหนึ่งจับคอขวด อีกมือหนึ่งจับก้นขวด ขวดจะไม่หล่นและน้ำก็ไม่หก แม่บอก เยี่ยมเลยลูก แม่ดีใจที่ลูกได้เรียนรู้สิ่งมีค่าในวันนี้ ลูกอาจทำผิดพลาด แต่ไม่ต้องเสียใจและท้อถอย ลูกทำกระจกแตก แน่นอนเราหงุดหงิด แต่เราต้องให้เด็กเรียนรู้ โดยให้เขาเก็บเศษกระจก และมีส่วนร่วมจ่ายเงินค่ากระจกด้วยเงินเก็บของเขาด้วย แต่สิ่งสำคัญต้องไม่ทำให้ลูกรู้สึกเลวร้าย ในชีวิตจริง เราล้วนต้องการคนเเวดล้อม รักและเอาใจใส่ในตัวเรา โดยไม่สนใจว่าเราจะเป็นอย่างไร มีเงินทองเท่าไร แต่รักที่ตัวของเรา ให้อภัยเราเมื่อเกิดกระทำผิดพลาด
มีอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชนกัน ขณะที่ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าเป็นอุบัติเหตุเล็กน้อย อีกฝ่ายออกมาจากรถทำท่าเหมือนจะร้องไห้ นี่เป็นรถของสามีซื้อมาได้แค่ 3 วัน และไม่อยากให้ฉันขับด้วยซ้ำ ถ้ารู้เข้าคงฆ่าฉันแน่ ๆ ผมเสียใจ แต่คุณมีประกันหรือเปล่า ขณะฝ่ายหญิงหยิบเอกสาร ก็พบกระดาษเขียนด้วยลายมือสามีว่า กรณีเกิดอุบัติเหตุขึ้นนะจ๊ะที่รัก ขอให้ระลึกว่า ที่ผมรัก คือตัวคุณ ไม่ใช่รถ
เช่นเดียวกัน ในช่วงพัฒนาตัวเราเองให้ไปสู่จุดสูงสุด ทำไมไม่อนุญาตให้ตัวเองผิดพลาดเพื่อเรียนรู้ และฝึกฝนเพื่อหาวิธีการป้องกัน และแก้ไขที่ได้ผล ต่อไป
ครั้งแรกที่จัดสัมมนา แจ็คลืมใส่ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ทำให้คนที่จะเข้าร่วมติดต่อไม่ได้ หลังจากผิดพลาดครั้งนั้น เขาไม่ผิดพลาดเช่นนั้นอีก ฉะนั้นเราเรียนรู้ความผิดพลาดได้ แต่ต้องมุ่งมั่นแก้ไข
เมื่อทำเทปม้วนแรกเรื่อง ความนับถือในตนเอง (Self Esteem) แจ็ค แคนฟิล ต้องทำงานมากขึ้นอีก 2 ช.ม. ทุกวัน (เที่ยงคืนถึงตีสอง) ใช้เวลากว่า 6 สัปดาห์ หลักการของเนื้อหา คือ
เหตุการณ์ (Event) + การตอบสนอง (Respond) = ผลลัพธ์ (Outcome) คำว่า การตอบสนอง=R ยังมีองค์ประกอบอีก 3 คำ คือ ความคิด จินตนาการ และพฤติกรรม บางคนไม่ชอบสภาพปัจจุบัน=E ก็ต้องเปลี่ยนแปลงการกระทำของตนเอง=R เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แตกต่าง=O อย่าโทษคนอื่น เราต้องมีความรับผิดชอบต่อตัวเอง 100 % คำว่า ความรับผิดชอบ (Responsibility) คือความสามารถในการกระทำของคุณเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมา ตัวแทนขายรถคนหนึ่ง เมื่อไม่มีคนเข้าไปเลือกซื้อรถเลย ตัวแทนคนนั้นไม่พอใจกับสภาพนี้คือ E = คนไม่เข้า R = ตั้งรับลูกค้าอยู่ในโชว์รูม O = ขายรถไม่ได้ เขาจึงนั่งพิจารณาว่า บรรดาคนมีฐานะทั้งหลายไปอยู่ที่ไหนกัน ในที่สุดพบว่า พวกเขาชอบไปชุมนุมกันที่ Country Club เขาจึงไปที่นั่นและเอารถไปด้วย เมื่อไปถึงก็ถามพวกเศรษฐีว่า ผมเอารถรุ่นใหม่มาด้วย ใครสนใจอยากลองขับไหม แน่นอนมีคนลองขับ คนขายรถถามต่อว่า ไม่ทราบอยากลองขับสัก 1 สัปดาห์ เพื่อเป็นแขก VIP ของเราไหม เพียงคุณเซ็นชื่อในเอกสาร พร้อมสำเนาใบขับขี่ให้เรา เพื่อเราจะได้ไปรับรถคืนในอาทิตย์หน้า คนส่วนมากตอบตกลง พวกเราคงเคยมีประสบการณ์นะว่า รถคันเก่าใช้ดี แต่รถใหม่ย่อมดีกว่า ผลก็คือ 82% ตัดสินใจซื้อรถใหม่ เห็นไหม แทนที่จะรอคนมาซื้อรถ เขาบุก เราเองก็ต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงาน ให้เหมาะสมกับสถานการณ์
หลังจากออกเทปนี้ตลอด 3 ปี แจ็คได้รับเช็ค $ 35,000 ทุก 3 เดือน และนั่นเป็นจุดหักเหให้เขาก้าวสูงขึ้น คุณต้องมองหาจุดหักเห และเริ่มสร้างวินัยให้แก่ตนเองตั้งแต่วันนี้ มีการวิจัยพบว่า ถ้าคุณได้พูด ได้อ่าน ได้ฟังและทบทวนสิ่งต่าง ๆ 45 นาทีก่อนนอน จะทำให้สิ่งเหล่านี้เข้าไปอยู่ในจิตใต้สำนึกได้กว่า 6 เท่าของเวลาปกติ ถ้าก่อนเข้านอน เราใช้เวลาวางแผนการพบคน หาความต้องการของผู้ที่จะไปพบ จะทำให้สิ่งเหล่านี้เข้าไปวนเวียนอยู่ในสมองเหมือนกับการทำสมาธิ ถ้าเราเพิ่มพูนทักษะของเราด้วยการฟังเทปวิชาการ อ่านหนังสือเกี่ยวกับการขาย จะทำให้เรารู้ถึงจุดอ่อนจุดแข็งของลูกค้า ลองทำดูแล้วคุณจะพบว่าได้ผล เคลเมน สโตน เชื่อว่า พฤติกรรมการแสดงออกที่ดี จะนำมาแต่สิ่งที่ดี ๆ เขาส่งคนออกไปขายประกัน แต่ลูกทีมขายไม่ได้เลย และกลับมาเล่าว่า พบข้อโต้แย้งมากมายเช่น ขัดข้องเรื่องการเงิน สโตนบอกว่าเยี่ยมมาก พวกนั้นงงและสับสนเข้าไปอีก เขาจึงออกไปพร้อมลูกทีมและแสดงให้ดู โดยชี้แจงให้ผู้มุ่งหวังรับรู้ว่า ถ้าพวกเขามีปัญหาด้านการเงิน หากเกิดเป็นอะไรขึ้นมา ครอบครัวจะเดือดร้อนแค่ไหน เป็นการเปลี่ยนความรู้สึกด้านลบของผู้มุ่งหวังให้เป็นบวก
สโตน บอกว่า อยากเป็นอะไร ต้องเข้าหาคนที่เราอยากจะเป็น เราต้องการคนแนะนำ ให้กำลังใจและเพื่อช่วยควบคุมให้เราสามารถควบคุมตัวเราเองได้ เราต้องเข้าหาคนที่ประสบความสำเร็จ พวกเขาคิดใหญ่ คิดไม่เหมือนคนทั่วไป ปัญหาอยู่ที่ว่า เรามักจะกลัว เรามักคิดว่าแล้วเราจะช่วยอะไรเขาได้ อย่ากังวลเลย คนที่ประสบความสำเร็จ เขารักจะเป็นผู้ให้ เขายินดีจะช่วยเหลืออยู่แล้ว
Thinking Goes Rich ของนโปเลียน ฮิลล์ เป็นหนังสือที่ดีมาก ๆ อยากให้พวกเราหามาอ่านกัน ได้เสนอแนะให้เราหา กลุ่มที่มีความคิดใกล้เคียงกัน (Master Mind Group) ซึ่งจะช่วยให้เรามีแก่นแท้ที่ดีของความคิด กลุ่มนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่มีอาชีพเดียวกัน เพียงแต่ยินดีร่วมช่วยกัน ระดมสมองพัฒนากันและกัน เกื้อกูลกัน เพื่อทำงานที่แต่ละคนอยากทำ ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ แล้วเราจะหาคนกลุ่มนี้ได้อย่างไร ก็มองหาเพื่อน หรือผู้ที่ดีกว่า สามารถมากกว่าเรา สัก 4-6 คน แล้วนัดพบปะพูดคุยกัน
- เรื่องที่ทำสำเร็จกันมาใน 1 สัปดาห์ จะทำให้เกิดความนับถือ และเชื่อมั่นในตนเอง
- เป้าหมายที่จะทำต่อไปในสัปดาห์หน้า
- พูดเรื่องทั่ว ๆ ไป เช่น บางคนในกลุ่มอยากฝึกบทขาย แล้วให้คนในกลุ่มติชม หรือ บางคนในกลุ่มอาจไม่อยากพูดเรื่องงาน อยากพูดคุยปัญหาของลูก ๆ ก็ได้ ให้เวลาคนละ 5-10 นาที นัดพบกันสัปดาห์ละครั้ง ครั้งละ 1 ชั่วโมง หากสามารถทำอย่างสม่ำเสมอ ทุกคนในกลุ่มก็จะได้ในสิ่งที่ต้องการ แต่จากข้อมูลวิจัยพบว่าเพียง 20 % ทำซ้ำอีก ส่วน 80 % เลิกทำ ไม่มีใครบังคับคุณได้ นอกจากตัวคุณเอง

บันได 10 ขั้น สู่เป้าหมายชีวิต

1. ควบคุมวิธีคิดให้คิดแต่ความสำเร็จ ด้วยการ
1.1 เขียนในสิ่งที่ทำสำเร็จแล้ว 100 รายการ จะพบว่าช่วงต้นเขียนง่ายมาก ต่อมาจะยากขึ้น เมื่อเราเขียน ได้สำเร็จ จะรู้สึกมั่นใจในตนเองมากขึ้น
1.2 เขียนในสิ่งที่ทำสำเร็จในวันหนึ่ง ๆ ก่อนนอนทุกคืน จะมีผลต่อจิตสำนึกของคนเรา
1.3 มองสบตาตนเองในกระจก เรียกชื่อตัวเอง บอกตัวเราว่า พอใจในสิ่งที่ทำได้ในวันนี้ เช่น การออกกำลังกาย ให้เวลากับครอบครัว กินอาหารถูกหลักอนามัย สุดท้ายพูดว่า ฉันรักเธอ เราต้องทำติดต่อกัน 40-60 วัน จึงจะได้ผล ถ้าคุณไม่สามารถพูดคำว่า ฉันรักเธอ เท่ากับคุณไม่รักตัวเอง ไม่เชื่อตัวเอง เทคนิคนี้เป็นวิธีที่มีพลังมาก ข้อเตือน อย่าทำโดยไม่บอกให้ใครในบ้านรู้ เพราะว่าเขาคงรู้สึกไม่ค่อยดีแน่ ที่เห็นเราพูดคนเดียวหน้ากระจก

2. มีความคิดเป็นบวก
นักจิตวิทยากล่าวว่า การพูดหรือคิดด้านบวก กล้ามเนื้อจะเข้มแข็ง ถ้าเราคิดถึงแต่สิ่งที่เราทำผิด หรือล้มเหลว กล้ามเนื้อจะอ่อนแรง ฉะนั้นจงขจัดคำว่า ทำไม่ได้ ออกไป
จงหลีกเลี่ยงพวกที่มีทัศนคติลบ คอยดูดพลังใจจากเรา จงเลือกอยู่ในหมู่คนคิดบวก
ร็อกกี้ ไรอันอายุ 5 ขวบ แม่ขับรถพาเขากลับบ้าน คืนนั้นค่อนข้างดึก แม่เผลอหลับและพารถตกจากถนน แม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส เลือดไหลเข้าตาจนมองไม่เห็น บอกลูกว่า ลูกต้องรีบออกจากรถ เพราะรถอาจจะระเบิด แล้วพยายามปีนขึ้นไปบนถนนให้ได้นะ หาคนมาช่วยแม่ไปโรงพยาบาลด้วย เขาตอบแม่ว่า ถ้ารถจะระเบิด แม่ก็ต้องออกจากรถด้วย เขาพยายามจะให้แม่ไปกับเขาให้ได้ แม่ยืนยันว่า ทำไม่ได้ ในที่สุด เขาพูดว่า แม่จำเรื่องที่เล่าให้เขาฟังได้ไหม แม่ต้องพยายาม ถ้าแม่คิดว่า แม่ทำได้ แม่ทำได้แน่ ผลสุดท้ายแม่ก็พาตัวเองออกมาทางหน้าต่างรถสำเร็จ
โรเจอร์ คอร์ฟอร์ด มือขวามีนิ้วเดียว มือซ้ายมีหัวแม่มือกับอีกนิ้ว เป็นโรคกรรรมพันธุ์ชนิดหนึ่ง ขาซ้ายถูกตัดตั้งแต่ใต้เข่าลงไปเมื่ออายุ 17 ปี เขาได้รับการผ่าตัดใส่มือ ใส่ขาเทียม พ่อแม่เขาเชื่อว่า คนเราทำอะไรก็ได้ ถ้าตั้งใจ โรเจอร์ชอบเอามือซุกกระเป๋า เพื่อซ่อนมือ แม่จะพูดว่า โรเจอร์ไม่ใช่เรื่องน่าอายนะลูก ไม่มีใครทำอะไรได้ทุกอย่าง คนสามารถทำอะไรบางอย่างได้ เมื่อตัดสินใจจะทำแล้วลงมือทำ เขาตัดสินใจว่าจะเล่นอเมริกันฟุตบอล เนื่องจากพ่อเคยเล่นมาก่อนและสอนพื้นฐานให้เขา ที่สุดเขาได้เข้าทีมโรงเรียน แต่เขามีฝัน ฝันว่าต้องทำทัชดาวน์ให้ได้ เขาฝึกที่หลังบ้านทุกคืนกับพ่อ วันหนึ่งในการแข่งขัน เขาแย่งลูกได้ ขณะนั้นห่างจากจุดทัชดาวน์ 6 หลา เขาถูกฝ่ายตรงข้ามรวบขาซ้ายไว้ แต่เขาก็ทำทัชดาวน์สำเร์จ ขณะที่คู่แข่งขันยังจับขาเทียมของเขาอยู่ โรเจอร์ยังมีความฝันอื่น ๆ อีก เขาได้เป็นกัปตันทีมเทนนิส และชนะแชมเปี้ยนชิป โรเจอร์บอกว่า เขามีนิ้วมือ 3 นิ้ว แต่มีทัศนคติบวก ดีกว่ามี 10 นิ้ว แต่มีทัศนคติลบ
พวกเราก็เช่นกัน ต้องขจัดคำว่า ทำไม่ได้ ออกไป เราต้องเปลี่ยนความคิด คิดแต่เรื่องสร้างสรรค์ เช่นแทนที่จะพูดว่า ฉันไม่มีเวลาทำ ให้เปลี่ยนเป็น ฉันกำลังหาเวลาทำ

3. เชื่อมั่นในพลังของคุณและกล้าที่จะใช้
ความกลัวที่ยิ่งใหญ่ของคนคือ กลัวถูกปฏิเสธ กลัวจะมีพลังไม่พอ ทั้ง ๆ ที่มีพลังมากเก็บซ่อนไว้ เราทุกคนมีพลังใจ พลังสมอง พลังกาย ลองคิดดูในชีวิตจริง ๆ เรากลัว เราไม่กล้าทำ แล้วปล่อยโอกาสให้ผ่านไปหรือเปล่า รับรองมีเหตุการณ์เหล่านี้แน่ ต่อไปนี้ถ้าคุณไปพบใคร พูดกับใคร หากเขาปฏิเสธ คุณต้องเชื่อมั่นพลังของคุณ แล้วคุณก็ไปพบคนต่อไป (NEXT) ชายคนหนึ่งได้รับริบบิ้นสีฟ้าจากพนักงาน คุณยอดเยี่ยมมาก เราอยากขอบคุณ คุณกล้าลงทุนในธุรกิจที่เสี่ยง ทำให้พวกเราเปลี่ยนไป มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และอยากให้คุณเอาริบบิ้นอีกเส้นหนึ่ง ไปให้ใครก็ได้ที่คุณต้องการจะบอกเขาว่า คุณพอใจในตัวเขามาก เมื่อเขากลับบ้าน เขามอบริบบิ้นให้ลูกชายอายุ 16 ปี วันนี้มีเรื่องประหลาด พ่อได้รับริบบิ้นจากพนักงาน พวกเขาบอกว่า พ่อทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้น แต่พ่อคิดว่าไม่ได้ทำอะไรมากมายนัก พ่อได้บอกเขาไปว่า ตั้งใจจะมอบอีกเส้นให้ลูกชายของพ่อ เพราะพ่อรักเขามาก และจะบอกว่าทำไมถึงรักเขา ลูกเรียนได้เกรด A พ่อไม่เคยชม ลูกไม่เคยขอบคุณที่พ่อทำงานหารายได้ และพ่อก็ไม่เคยพูดว่า ขอบใจนะที่ลูกไปโรงเรียน แต่แน่นอน พ่อภูมิใจในตัวลูกมาก นี่คือเหตุผลที่พ่อทำงานหนัก พ่อหวังที่จะให้ลูกได้แต่สิ่งที่ดี ๆ พ่อพอใจในตัวลูกมาก พอพูดจบ ลูกก็ร้องไห้และวิ่งออกจากห้องไป เขารู้สึกเสียใจมาก แต่สักครู่ลูกกลับเข้ามาพร้อมกับปืนพกในมือ ผมซื้อปืนพกนี้เมื่อสัปดาห์ก่อน ตั้งใจจะยิงตัวตายอาทิตย์นี้ เพราะคิดว่าพ่อและแม่ไม่รักผม แต่บัดนี้ผมรู้แล้วว่า พ่อรักผมมาก พ่อช่วยเอาปืนไปจากผมทีครับ
คุณทำอย่างไร เวลาคนพูดลบ ๆ กับคุณ คุณต้องมีกฏการแทนที่ ให้คุณหลับตาและพูดว่า ไม่ว่าคุณจะปฏิบัติต่อฉันอย่างไร ฉันก็ยังคงเป็นคนที่มีคุณค่า หายใจเข้าลึก ๆ และหายใจออก แล้วลืมตาขึ้น ประโยคนี้สำคัญมาก ในฐานะที่คุณเป็นนักขาย เขียนประโยคนี้ใส่กระดาษ 3-5 ใบ วางไว้ในที่คุณเห็นชัด เช่น บนโต๊ะในบ้าน ในรถ วางไว้นานติดต่อกัน 20-30 วัน แล้วปฏิบัติทุกครั้งที่เห็น

4. ทำเป้าหมายและวิสัยทัศน์ให้กระจ่าง
ครูคนหนึ่งให้นักเรียนเขียนความฝันว่า จะทำอะไร อยากเป็นอะไร เด็กหนุ่มคนหนึ่ง พ่อเป็นคนฝึกม้า ชีวิตอยู่แต่ในเกวียน จากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองเพื่อฝึกม้า เขาตื่นเต้นมาก ที่ได้เขียนเล่าความฝัน เขาเขียนถึง 8 หน้าเล่าว่า ต้องการเป็นเจ้าของคอกม้าแข่งเนื้อที่ 200 เอเคอร์ บ้านจะมีกี่ห้องปรากฏว่าได้ F โดยครูบอกว่า เธอไม่มีวันได้เป็นเจ้าของที่ดินขนาดนั้นหรอก เพราะที่ดินแพงมาก ครูไม่อยากให้เธอผิดหวัง ฉะนั้นไปเขียนใหม่ ให้ใกล้เคียงความจริงมากกว่านี้ เด็กหนุ่มถามพ่อว่าควรทำอย่างไรดี พ่อตอบว่า พ่อไม่สามารถตอบลูกได้ ชีวิตเป็นของลูก คิดให้ดี แล้วตัดสินใจเอง เขาจึงกลับไปหาครูพูดว่า ครูเก็บ F ของครูไว้เถอะครับ ส่วนผมจะเก็บความฝันของผมไว้ หนุ่มคนนั้นคือบอนนี เอฟ โรเบิร์ท ขณะนี้เขามีฟาร์มเนื้อที่ 250 เอเคอร์ รายได้ 6 ล้านเหรียญต่อปี
จงจำไว้ว่า อย่ากลัวที่จะบอกผู้อื่น อย่ากลัวที่ใครจะหัวเราะเยาะ คุณต้องมีฝันที่ใหญ่ อย่าเพิ่งกังวลว่าจะได้มาอย่างไร คุณไม่มีทางสำเร็จ ถ้าคุณไม่ตั้งเป้าหมายให้สูงไว้ ในวันนี้จงเขียนจากจิตใจว่า ต้องการอะไร เช่น ต้องการให้ครอบครัว เพื่อนฝูงเป็นอย่างไร อยากทำอาชีพอะไร รายได้เท่าไร อยากให้โลกรอบตัวเป็นอย่างไร

5. แปลงวิสัยทัศน์เป็นเป้าหมาย
คนเราจะสำเร็จ ต้องมีเป้าหมายชัดเจน เฉพาะเจาะจง มีรายละเอียด วัดผลและตรวจสอบได้ ต้องอ่านเป้าหมายทุกวัน อย่าคิดว่าเป้าหมายใหญ่เกินไป คนเรามีความกลัวอยู่ใต้จิตสำนึกที่จะหยุดยั้งเรา เราต้องทำให้มันโผล่ออกมา แล้วหาวิธีการขจัดมันไป มีหนุ่มคนหนึ่ง เขาจะซื้อกิจการธุรกิจ ปรับปรุงแล้วขายไป เขาซื้อกิจการรองเท้า โดยไม่รู้ว่าบริษัทกำลังถูกปิด เมื่อรู้ว่ามีปัญหา เขาตรงไปยังผู้ว่าการรัฐแล้วบอกว่า ถ้าบริษัทถูกปิด จะมีคนมากมายว่างงาน รัฐต้องจ่ายเงินหลายล้านเหรียญเลี้ยงดู แต่ถ้าคุณลดภาษี ผมจะปรับปรุงให้ดีขึ้นแล้วพวกเขาก็จะจ่ายภาษีให้คุณได้ เขาเคยพบผู้ว่าการรัฐไหม ? ไม่ เขากลัวที่จะไปพบไหม ? กลัว แต่เขาทำไหม ? ทำ ตอนนี้เขากลัวที่จะไปพบไหม ? ไม่ เพราะฉะนั้นเขายิ่งใหญ่ขึ้น เพราะว่ากล้าทำในสิ่งที่กลัว ความสำเร็จที่แท้จริงคือ การปราศจากความกลัวและความคิดลบ และต้องไม่ให้ปัจจัยภายนอกมายับยั้งความคิดที่จะทำให้สำเร็จ

6. สร้างภาพ และเห็นผลลัพธ์ที่ต้องการชัดเจน
ในชีวิตคนเราจะมีความกดดัน มีความเครียด จนเราอาจรู้สึกไม่สบาย มี 2 ทางเพื่อลดความเครียด คือ ปรับเปลี่ยนเป้าหมายให้เหมาะสม เพราะว่าเป้าหมายเดิมยากจะบรรลุได้ หรือ สร้างภาพจินตนาการให้อยู่นานพอ จนความจริงเข้าใกล้จินตนาการนั้น เวลาขายสินค้าต้องวาดภาพให้ลูกค้าเห็นชัดเจนว่า ถ้าเขาทำสิ่งนี้จะปกป้องครอบครัว และสุขภาพของเขาได้อย่างไร ถ้าวาดภาพชัดเจนมาก จะเกิดความกดดันทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ เราอาจสร้างแรงกดดันให้เกิดแก่ตัวเราเองขึ้นมาได้ เช่น อยากรูปร่างดี ให้เอารูปภาพคนที่มีรูปร่างดี แล้วเอาหน้าเราปะเข้าไปแทน ดูภาพนี้ทุกวัน ควรดู 3 เวลา เช้า เที่ยง และก่อนนอน จะเป็นการสะกดจิตตัวเอง ต้องทำซ้ำ ๆ ๆ ฉะนั้นคุณต้องวาดภาพคุณเองให้มีสุขภาพดี และประสบความสำเร็จ
แจ็คเคยเป็นครูโรงเรียนแห่งหนึ่ง มีรายได้ $18,000 ต่อปี และในวันหยุดเขาจะมาช่วยสโตน สโตนบอกเขาว่า ควรตั้งเป้าหมายรายได้ให้สูงไว้ ตกลงกันว่าสัก $100,000 เขาจึงเขียนไว้บนเพดานห้องนอน ทุกเช้าตื่นขึ้นมา จะเห็นตัวเลขนี้ และสร้างภาพตัวเองว่าสามารถหามาได้ ตอนนั้นเขาเขียนหนังสือขาย ออกมาได้ 2 ปีแล้ว ซึ่งถ้าจะให้ได้ $100,000 ต้องขายถึง 400,000 เล่ม เขาและสำนักพิมพ์ไม่รู้จะทำอย่างไร ภรรยาเขาแนะนำว่าเขียนเรื่องอื่นไปให้สำนักพิมพ์ก็ได้นี่ เขาจึงเขียน SELF ESTEEM ไปยังสำนักพิมพ์ต่าง ๆ แต่ได้รับคืนมาทั้ง 52 แห่ง วันหนึ่งเขาไปพูดที่นิวยอร์ค มีนักข่าวสนใจขอสัมภาษณ์ และเขียนเรื่องเขาลงนิตยสารชั้นนำ ทำให้หนังสือขายได้มากขึ้น ภรรยาถามว่า ทำไมไม่เปิดร้านขายหนังสือเองล่ะ จะได้อีก $2 ต่อเล่ม เขาจึงพิมพ์ใบโฆษณาเองขายเอง ปีนั้นเขาทำได้ $96,000 เขาผิดหวังไหม ไม่เลย ภรรยาถามว่า ถ้าวิธีนี้ทำให้ได้ $100,000 คุณว่าเราจะทำได้ $1,000,000 ไหม เขาใช้เวลา 3-4 ปีทีเดียว กว่าจะได้ 1 ล้านเหรียญ
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับคุณได้ แต่คุณต้องลงมือทำ คุณต้องทำทุกวัน ต้องคิดว่าเป็นไปได้

7. ลงมือกระทำ
คุณต้องลงมือกระทำจึงจะได้มา ต้องเลือกถามให้ถูกคน ถามถูกคำถาม จึงจะได้ผลลัพธ์ หนูน้อยมาร์กี้ แม่เป็นพนักงานเสิร์ฟ แม่เคยบอกเธอเมื่ออายุ 9 ขวบ แม่ไม่มีเงิน แต่มีความฝันอยู่ 2 อย่าง คืออยากเที่ยวรอบโลก และอยากให้หนูเข้าวิทยาลัย 2 ปีต่อมา เมื่อเป็นลูกเสือหญิง เธอออกขายคุกกี้ วิธีการคือ เธอเคาะประตู และพูดว่า สวัสดีค่ะ หนูชื่อมาร์กี้ แอนดรู หนูมาขายคุกกี้ หนูอยากขายให้ได้มากที่สุด มากกว่าเด็กหญิงคนอื่น เพื่อเก็บเงินให้แม่เดินทางรอบโลก สิ่งนี้เป็นความฝันของหนู ไม่ทราบคุณจะช่วยซื้อได้เท่าไรคะ ช่วยเติมความฝันของหนูให้เป็นจริงด้วย เธอขายได้ $32,000 ซึ่งได้บันทึกลงในกินเนสบุ๊คส์ ทุก ๆ ที่ ที่เธอไป เธอเล่าและแบ่งปันความฝันให้คนอื่น ๆ
เมื่อพบคนบอกปฏิเสธ คุณต้องบอกตัวเองว่า NEXT คุณกลัวได้ แต่ทำต่อไป โดยระวังอันตราย เมื่อเกิดความกลัวให้นึกถึงประโยคนี้ อย่าหยุด อย่างไรก็ต้องทำ ครูคนหนึ่งต้องหาทุนให้โรงเรียน $10,000 ทุกปี วันหนึ่งขณะขึ้นไปพบประธานธนาคาร เธอคิดว่า ฉันไม่ได้นัด แต่งตัวก็ไม่เรียบร้อย หนังสือโรงเรียนก็ไม่ได้เอามา เขาอาจให้ทุนคนอื่นไปหมดแล้ว เธอกลัวไปทุกอย่างขณะเดินกลับ เธอนึกถึงคำว่า จงมุ่งไปข้างหน้า จึงกลับเข้าไปขอเวลาพบ 1 นาทีเท่านั้น เธอได้เข้าพบประธานและเธอก็ได้เงินทุนมา คุณกลัวได้แต่จงลงมือทำ อย่าหยุด มีคำพูดที่ว่า คนบางคนไม่มีโอกาส แต่บางคนไม่ไขว่คว้าโอกาส

8. รับผิดชอบสิ่งที่ทำ ทบทวนและแก้ไข
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ต้องเรียนรู้ แก้ไข ปรับปรุง และทำต่อไป คำถามที่ควรถามคนรอบข้าง เช่น ลูก เพื่อน หรือลูกค้า คือ อะไรเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ฉะนั้น ต้องกล้าที่จะถาม แล้วเราจะได้ข้อมูล ข้อปฏิบัติ ที่เหมาะสม

9. ฝึกฝน ฝึกฝน และฝึกฝน
ลาสท์ บราวน์ เป็นนักพูดชาวอเมริกัน ตอนเด็กเขาอยากเป็นนักจัดรายการวิทยุ แต่เขาจบแค่มัธยมปลาย อาชีพเป็นคนตัดแต่งต้นไม้ตามถนนหลวง เขาไปที่สถานีวิทยุ ขอสมัครเป็นนักจัดรายการ แต่ถูกปฏิเสธ เพราะว่าไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ ผู้สัมภาษณ์ถามว่า ทำไมจึงมาสมัคร เขาตอบว่า ผมมีความตั้งใจ และต้องการฝึกอย่างหนักเพื่อเป็นนักจัดรายการวิทยุที่ดี ขอโอกาสให้ผมด้วยเถอะ เขาขอเข้าไปทำงานถึง 20 ครั้ง จนหัวหน้าสถานีใจอ่อนและยอมให้เขาได้ฝึก ได้เรียนรู้ โดยไม่ได้ค่าจ้าง เขาเฝ้าดูผู้จัดรายการ ทำงาน ดูการวางแผน การคัดเลือกรายการทำอย่างไร แล้วเขาจัดทำห้องอัดเสียงที่บ้าน และฝึกอย่างหนักทุกคืน อยู่มาวันหนึ่งผู้จัดรายการเมาเหล้าและไม่มา หัวหน้าสถานีหาใครดำเนินการแทนก็ไม่ได้ เมื่อบราวน์ขันอาสา เขาก็ทำได้ดีจนน่าทึ่ง

10. ให้รางวัลตัวเองที่ทำสำเร็จ
เด็กคนหนึ่งปวดตามตัวมาก แม่จึงพาไปโรงพยาบาล หมอบอกว่า จะอยู่ได้แค่ 6 เดือน แม่เสียใจมากถามลูกว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร เขาบอกว่า เป็นพนักงานดับเพลิง แม่จึงไปติดต่อหน่วยงานดับเพลิง เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังและขอร้องว่า ให้เขาได้มีโอกาสแต่งชุดพนักงานดับเพลิง เจ้าหน้าที่บอกว่า เราจะทำให้ดีกว่านั้นอีก เราจะพาเขาออกปฏิบัติงานแบบเหมือนจริงเลยทีเดียว ซึ่งทำให้เขามีความสุขมาก คนเราทำฝันให้เป็นจริงได้ ไม่ต้องรอถึงกับเป็นโรคร้าย เด็กชายอายุ 5 ขวบ และพี่สาวอายุ 7 ขวบ โรเบิร์ตและลูซี่ ทั้งคู่ป่วยหนักด้วยโรคร้ายแรงจากไวรัส วันหนึ่งหมอตรวจดูพบว่าเลือดของโรเบิร์ตดีขึ้น เพราะมีภูมิต้านทาน แต่ลูซี่กลับแย่ลง ต้องถ่ายเลือดโรเบิร์ตให้ลูซี่ โรเบิร์ตถามหมอว่า ถ้าให้เลือดพี่สาวแล้ว เขาจะตายเลยทันทีไหม หมอบอกว่า ไม่ งั้นลงมือเลย โรเบิร์ตตอบ กล้าหาญอย่างโรเบิร์ต ลงมือกระทำ เพื่อให้ฝันเป็นจริง (พี่สาวหายป่วยด้วย)

จงฝึกตัวเองในกระจก จ้องดูดวงตาคู่นั้นว่า ฝันอะไรไว้เมื่อตอนเด็ก ๆ
ไม่มีใครทำให้ฝันเป็นจริงได้ นอกจากลงมือทำ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ดาวน์โหลดหนังสือมานี มานะ ไฟล์ PDF ฟรี ขอบคุณ (ครูเชียงรายดอทเน็ต www.kruchiangrai.net)

รวมมุกขำขำ มุกตลก มุกงานเลี้ยง มุกพิธีกร

K-SME Analysis ธุรกิจชานมไข่มุก จากไต้หวัน